เทศน์บนศาลา

นิพพานคือนิพพาน

๒๘ ก.พ. ๒๕๕๓

นิพพานคือนิพพาน
พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต

เทศน์บนศาลา วันที่ ๒๘ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๓
ณ วัดป่าสันติพุทธาราม (วัดป่าเขาแดงใหญ่) ต.หนองกวาง อ.โพธาราม จ.ราชบุรี


เอ้า เราสงบ กายวิเวก จิตวิเวก เราจะฟังธรรมกัน วันนี้วันสำคัญทางพุทธศาสนา เพราะพระอรหันต์ ๑,๒๕๐ องค์ กับองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเห็นไหม ทำไมองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าต้องเทศน์โอวาทปาฏิโมกข์ด้วยล่ะ ในเมื่อเป็นพระอรหันต์หมดแล้วนี่ เป็นพระอรหันต์แล้วมันอยู่สุขสบายแล้ว ทำไมเทศน์โอวาทปาฏิโมกข์อีกล่ะ และองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเทศน์โอวาทปาฏิโมกข์นะ โอวาทปาฏิโมกข์นี่ ในหัวใจผู้ที่สะอาดบริสุทธิ์ยังต้องมีหลักมีเกณฑ์อย่างนี้ แล้วผู้ที่ทุกข์จนเข็ญใจอย่างเรา เรามาประพฤติปฏิบัติกันแล้วเราจะเอาอะไรมาเป็นที่พึ่ง

ฉะนั้น ที่พึ่งนี่ เราก็เอาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ศาสดาเป็นตัวอย่างนะ ในการประพฤติปฏิบัติ เราต้องเอาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นตัวอย่าง เป็นแบบอย่างที่ดี เห็นไหม ชีวิตแบบอย่าง องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้านอนสีหไสยาสน์นะ พวกเรานะนอนหงายเลย นอนตามสบายเลย พอนอนตามสบายไปนี่เห็นไหม เราก็ว่าเราสุขสบายทั้งนั้น เดี๋ยวนี้โลกเจริญแล้ว ทุกคนจะบอกว่าโลกเจริญแล้วล่ะ เราไม่ได้อยู่ในสมัยดึกดำบรรพ์ที่จะต้องมาทรมานกายทรมานใจอย่างนั้น ไอ้อย่างนั้นมันเป็นความคิดของเรานะ เป็นความคิดของเรา

แต่ถ้าเราทำ เราดัดแปลงตนนะ มันเป็นนิสัย มันจะเป็นนิสัยของเรา ถ้าเราจะเอานิสัยของเรานี่ เราหวังพ้นทุกข์นะ เราประพฤติปฏิบัติกันเห็นไหม วันสำคัญทางพุทธศาสนา เราก็มีหลักมีเกณฑ์ของเรา เรามีความตั้งใจของเรา เรามาทำเพื่อเป็นคุณประโยชน์กับเรา ถ้าความเป็นคุณประโยชน์กับเรานะ อะไรเป็นคุณประโยชน์กับเราล่ะ

ถ้าเรามีสติปัญญา เรามีอำนาจวาสนาบารมี เราต้องมีความยั้งคิด สิ่งใดจะพูดใครจะพูดสิ่งใด พูดไปเถอะ ยิ่งคนที่มีชื่อเสียงทางสังคมเห็นไหม ยิ่งที่เป็นนักปราชญ์ พวกนักปราชญ์นี่ พอพูดสิ่งใดเราก็จะเชื่อฟังเขา ว่าเขาเป็นนักปราชญ์เพราะเขาได้อุตส่าห์ค้นคว้ามา ได้ค้นคว้าจริงหรือ ความจำกับความจริงไม่เหมือนกัน ความจำเห็นไหม ดูอย่างคอมพิวเตอร์นะ นี่พระไตรปิฎกมันจำได้ดีกว่าเราอีก ความจำ เป็นความจำ ความจริงเป็นความจริง แล้วความจริงมันมาจากไหน ถ้าไม่มีองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามาตรัสรู้ธรรมของเรา

ความจริงมันเกิดขึ้นมาจากไหน มันเกิดขึ้นมาจากใจขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าก่อน แล้วเวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเทศน์ธรรมจักรเห็นไหม “อัญญาโกณฑัญญะ รู้แล้วหนอ อัญญาโกณฑัญญะรู้แล้วหนอ” ความจริงกับความจริงนะ ความจริงส่วนหนึ่ง เพราะ นี่ ดวงตาเห็นธรรม แค่ดวงตาเห็นธรรมนะ “อัญญาโกณฑัญญะรู้แล้วหนอ” เพราะอะไร เพราะใจขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นความจริงอยู่แล้ว สิ่งที่มีผู้ประพฤติปฏิบัติเข้าไปถึงความจริงส่วนหนึ่งเห็นไหม องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ารับประกันเลย เห็นไหม “อัญญาโกณฑัญญะรู้แล้วหนอ” เสร็จแล้วเทศน์ต่อไปจนปัญจวัคคีย์ทั้งหมดได้พระโสดาบันนะ แล้วเทศน์อนัตตลักขณสูตรขึ้นมาก็เป็นพระอรหันต์หมดเลย

ถ้ายิ่งเป็นพระอรหันต์หมดแล้ว สิ่งนี้เห็นไหม นิพพานคืออะไร นิพพานก็คือนิพพานแล้วนิพพานจะเป็นอย่างอื่นไปได้อย่างไร เขาว่านิพพานเป็นนิพพานไม่ได้ เพราะถ้าว่านิพพานเป็นนิพพาน มันมีตัวตนไง เพราะนิพพานมีตัวตน นิพพานเป็นของเรา เราเป็นนิพพานนี่มีตัวตนขึ้นมา จะเป็นนิพพานไปไม่ได้ แล้วถ้านิพพานเป็นเรา มันเป็นกิเลสทั้งนั้น เขาว่ามันเป็นกิเลสมันเป็นนิพพานไปไม่ได้ เพราะไปลูบไปคลำนิพพานอยู่ มันก็เลยไม่นิพพานซะที เขาบอกเพราะเรามีเป้าหมายว่านิพพานคือนิพพาน พอเราปฏิบัติไป มันถึงไปไม่ถึงเป้าหมาย ไม่ถึงเป้าหมายเพราะเป็นกิเลสตัณหาความทะยานอยากทั้งนั้น แต่นี่เป็นความคิด นี่เป็นความจำใช่ไหม

ถ้าความจริงละ ความจริงนิพพานก็คือนิพพาน เขาบอกนิพพานเป็นนิพพานไม่ได้ เพราะถ้านิพพานเป็นนิพพานแล้วมันจะบีบธรรมะให้แคบลง ถ้านิพพานเป็นอนัตตา สรรพสิ่งต้องถึงเป็นอนัตตาหมด เพราะเป็นนามธรรมมันจะกว้างขวาง กว้างขวางทำให้คนได้รื้อค้นได้ประพฤติปฏิบัติว่าเป็นอนัตตาไง ถ้ามันกว้างขวาง ถ้านิพพานเป็นนิพพาน ก็ต้องบีบธรรมะให้เหลือแค่ขันธ์ ก็ว่าเป็นแค่ขันธ์ไง ขันธ์นะ ในขันธ์เป็นนิพพาน เพราะเป็นแค่ขันธ์ พอบีบเข้ามาแค่ขันธ์ มันก็เหมือน… เขาไม่เคยประพฤติปฏิบัติ เขาไม่เคยทำขึ้นมาต่างๆ เขาจะไม่รู้สิ่งใดๆเลย ถ้าเขารู้เรื่องการประพฤติปฏิบัติขึ้นมานี่

เห็นไหม ในการประพฤติปฏิบัติ เวลาประพฤติปฏิบัติขึ้นมานี่ แม้แต่จะเอาชนะตนเองเห็นไหม ให้มีหลักมีเกณฑ์ขึ้นมา มันก็แสนทุกข์แสนยากอยู่แล้ว สิ่งต่างๆ นี่นะ ถึงว่า นิพพานถ้าเป็นแค่ขันธ์ สิ่งต่างๆบีบให้มันแคบเข้ามา ให้เราไม่มีหลักมีเกณฑ์ ถ้ามีหลักมีเกณฑ์ แม้แต่จิตสงบนะ เวลาจิตสงบความคิดทั้งหลายมาจากไหน มาจากจิตทั้งนั้น เวลาเรากำหนดพุทโธๆ หรือใช้ปัญญาอบรมสมาธิ มันจะเข้าไปสู่ความสงบอันนั้น เข้าไปสู่ใจของเรา มันคับแคบไหมล่ะ ใจมันคับแคบไหม แล้วเขาว่ามันจะบีบธรรรม บีบธรรม ใครไปบีบธรรม ไม่มีใครไปบีบธรรมหรอก ธรรมะใครบีบไม่ได้ ทุกคนไปกดขี่ไปบังคับให้เป็นไปตามที่เราปรารถนาไม่ได้ เป็นไปไม่ได้

ถ้ามันเป็นไปได้ พ่อแม่ทุกคนต้องการลูกให้เกิดมามีศักยภาพ ให้เป็นคนฉลาด ให้เป็นคนดีทั้งนั้น ทำไมมันไม่เป็นไปตามปรารถนาของพ่อแม่ล่ะ นี่ก็เหมือนกัน เราต้องการให้ธรรมะเป็นของเรา ให้เราบรรลุธรรม ให้เราเข้าใจธรรมะ นี่ เวลาศึกษากันมาก็จำได้ทั้งนั้น ธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้านี่ มันก็จำมาเท่านั้นน่ะ แล้วพอจำขึ้นมาแล้วมันเป็นความจริงไหม มันบังคับได้อย่างไร มันบังคับไม่ได้หรอก ไม่มีใครไปบีบบังคับธรรมได้ทั้งนั้น

ธรรมะคือธรรมะ ผู้ใดปฏิบัติธรรมสมควรแก่ธรรม สมควรแก่ธรรม ธรรมะจะให้ผลตามนั้น ถ้าใครจะไปบีบธรรม ใครจะไปคาดคั้นมาจากธรรมะ มันไม่มีหรอก สิ่งนี้มันไม่มี มันไม่ได้บีบ ดูสิ เวลาสงบเข้ามา ก็สงบเข้ามาสู่ใจ เวลาจิตมันละเอียดเข้าไปเป็นชั้นๆเข้าไปนะ อย่างเช่นเวลาประพฤติปฏิบัติเข้าไป มันจะละเป็นชั้นเป็นตอนเข้าไป การละเป็นชั้นเป็นตอนเข้าไป มันละที่ไหน แล้วมันเข้าไปสุดที่ไหน ดูสิ เห็นไหม ดูสิ เวลาครูบาอาจารย์ท่านพูดนะ ท่านบอกเลยนะ ถ้ำเสือ นี่คูหาของใจ มันหดเข้ามา มันหดมาอยู่ที่นี่ ถ้าเราอยากได้ลูกเสือเราต้องเข้าถ้ำเสือ เข้าถ้ำเสือเห็นไหม คูหาของใจนะ เจอจิตมันละทิ้งเข้ามาหมด มันละสิ่งต่างๆเข้ามาหมด แล้วมันเข้ามาอยู่ในตัวของมัน บีบไหม บังคับไหม ไปบีบธรรม ไปบีบที่ไหน ไม่ได้บีบธรรม แต่สัจธรรมมันเข้าไปสู่ที่นั่น อวิชชา ปัจจยา สังขารา สังขารา ปัจจยา วิญญาณัง ในเมื่อถึงที่สุดแล้วมันเข้าไปสู่สถานะของจิต มันเข้าไปสู่รากเหง้าของมัน ถ้าสู่รากเหง้า เราก็ต้องตามเข้าไปสู่รากเหง้าของมัน ต้องไปทำลายที่รากเหง้าของมัน

มันไปบีบคั้นธรรมที่ไหน มันไม่บีบคั้นธรรมหรอก เขาบอกธรรมะ นิพพานเป็นนิพพานก็ไปบีบคั้น ไปบีบให้มันแคบเข้ามา เป็นการเสียโอกาสของชาวพุทธ ชาวพุทธต้องกว้างขวาง ต้องใช้ปัญญา ต้องได้... ไอ้นั่นมันวิชาการ ทางวิชาการเห็นไหม ถ้าทางวิชาการนั้น ใครจะวิเคราะห์วิจัยอย่างไรก็ได้ทั้งนั้น ทุกคนต้องมีโอกาสได้ทำงานวิจัย ต้องกว้างขวาง ไอ้ทางวิชาการเห็นไหม ยิ่งกว้างขวางก็มองออกไปสิ เรามองไปในอากาศสิ มันไปได้ ดวงดาวน่ะ จักรวาล ไปได้หมดน่ะ เวลาจิตมันส่งออกมันไปเกลี้ยงน่ะ แล้วพอจะเข้ามาสู่จิตเดิมแท้ มันไปบีบธรรม ไปบีบธรรม มันเป็นขันธ์ไปบีบธรรม

เอ้า ปฏิสนธิจิตนะ เวลาจิตปฏิสนธิในไข่ นี่การกำเนิด ๔ กำเนิดในไข่ ในน้ำคร่ำ ในครรภ์ ในโอปปาติกะ เวลาจะเกิด เกิดจากจุดปฏิสนธิจิตจุดนิดเดียว แล้วมันขยายออกไปอย่างไร แล้วไปแก้กันที่ไหน ถ้าจะไปแก้ไปแก้กันที่ไหน จะไปแก้ในอนัตตาหรือ ทุกอย่างเป็นอนัตตา สรรพสิ่งเป็นอนัตตา กว้างขวางไปหมด มันก็อวกาศไง จักรวาลน่ะ ออกไปนะ มันจะไปเจอสิ่งใดล่ะ

ไม่มีใครบีบธรรมหรอก แต่ตัวเองน่ะติดธรรมต่างหาก เขาบอกนี่หลง บีบธรรมะแล้วก็หลงคำพูดของตัวเอง นิพพานคือนิพพาน ในเมื่อเราพูดว่านิพพานคือนิพพานติดคำพูดของตัวแล้ว ก็ต้องบีบมัน คั้นให้ขันธ์ ๕ อยู่ในขันธ์ ไม่ใช่ เดี๋ยวจะพูดให้ฟัง ระหว่างละขันธ์เป็นชั้นๆขึ้นมาแล้วไปสู่เจ้าของขันธ์ ใครเป็นเจ้าของขันธ์ ขันธ์มันเกิดขึ้นมาจากใคร ใครไปบีบบังคับมัน ไม่มีใครไปบีบบังคับมันหรอก แล้วบอกว่า นิพพานต้องสักแต่ว่านิพพานถึงจะไม่มีตัวตน นั่นแหละตัวตน นิพพานสักแต่ว่านิพพานน่ะ ทำไมนิพพานถึงสักแต่ว่านิพพานล่ะ ถ้านิพพานสักแต่ว่านิพพาน ใครไปบอกมันสักแต่ว่า ไอ้ตัวตนทั้งหมดเลยไปบอกนิพพานเป็นสักแต่ว่านิพพาน ถ้านิพพานเป็นนิพพานไม่ได้ นิพพานคือนิพพานไม่ได้ นิพพานต้องสักแต่ว่านิพพาน เอออย่างนี้ถึงจะใช้ได้ แต่นิพพานทั้งหมดต้องลงสู่อนัตตา

เขาพยายามยืนยันอยู่ว่าเป็นอนัตตา แต่ไม่กล้าเอาตัวเองยืนยัน อ้างโน่นอ้างนี่ อ้างพระไตรปิฎก อ้างสูตรนั้นสูตรนี้ไปตลอด แต่ไม่บอกว่าเรามีความเห็นอย่างนั้นล่ะ บอกออกมาสิว่ามีความเห็นว่านิพพานเป็นอนัตตา บอกออกมา แล้วเป็นอนัตตาเพราะเหตุใด พูดออกมาสิ มันก็อ้างพุทธพจน์อยู่อย่างนั้นน่ะ นิพพานเป็นอนัตตา นิพพานต้องสักแต่ว่านิพพาน นิพพานเป็นนิพพานไม่ได้ ผู้ที่พูดว่านิพพานคือนิพพานคือติดในนิพพานไง นี้คือความเห็นของเขานะ

มันไม่เป็นความจริงหรอก นิพพานมันก็คือนิพพาน นิพพานคือนิพพานเพราะอะไร นิพพานเป็นนิพพานเพราะว่าเราละมาตลอดแล้ว มันละเป็นชั้นเป็นตอนขึ้นมา เพราะถ้านิพพานเป็นอย่างอื่น นิพพานเป็นอนัตตา นิพพานเป็นอะไรต่างๆ มันก็เหมือนกับเราพยายามต้อนวัวต้อนควายเข้าไปสู่ที่อับ พอมันหลุดออกไปได้มันก็เตลิดล่ะ ถ้านิพพานเป็นอย่างอื่นไป มันก็อธิบายได้หมดล่ะ นิพพานคือนิพพาน แต่มันเป็นภาษาสมมติ เพราะเขาถามว่านิพพานคืออะไร นิพพานเป็นอย่างไร ในเมื่อมีเหตุว่านิพพานเป็นอัตตาและอนัตตา เขาถามว่านิพพานเป็นอัตตาหรืออนัตตา หลวงตาท่านบอกว่านิพพานก็คือนิพพานไม่ใช่อัตตา นี่ไง ถ้าบอกนิพพานเป็นตัวตนก็นิพพานเป็นอัตตาไง อัตตาคือตัวตน ก็ตัวตนนั้นคือนิพพานไง นั่นมันคืออัตตา

แต่ถ้าเป็นอนัตตา อนัตตา สภาวะของอนัตตา สภาวะของการเปลี่ยนแปลง มันจะเป็นนิพพานไปได้อย่างไร มันเป็นนิพพานไปไม่ได้ แล้วถ้านิพพานเป็นนิพพานล่ะ นิพพานเป็นนิพพานเพราะคนที่รู้นิพพานเขาพูดนิพพาน เพราะผู้พูดไม่ได้พูด ไม่ได้มีตัวตน ไม่มีสิ่งใดเข้าไปเจือปนกับตรงนั้น นิพพานก็คือนิพพาน ก็คือนิพพานอันนั้นแหละ บอกไม่ได้ พูดอย่างนี้ไม่ได้ เพราะพูดอย่างนี้ติดคำพูดของตัวเอง พอติดคำพูดของตัวเองเลยหาทางออกไม่ได้ ก็ต้องว่ากันไป

ถ้าติดคำพูดของตัวเองมันจะหาทางออกได้อย่างไร เพราะว่ามันจะติดคำพูดของตัวเองในเมื่อสัจธรรมมันเป็นอย่างนั้น เป็นอย่างนั้นเพราะอะไร เพราะเราประพฤติปฏิบัติขึ้นมา เราตั้งใจปฏิบัติของเราขึ้นมาใช่ไหม ถ้าเราตั้งใจของเราขึ้นมาเห็นไหม เราทำความสงบของใจได้อย่างไร ดูสิ เราเกิดมานั่งกันอยู่อย่างนี้ เราเกิดมาจากอะไร ก็เกิดมาจากพ่อจากแม่ เป็นเรื่องสุดวิสัย ก็มันเกิดขึ้นมา เกิดโดยความบังเอิญไง เกิดเพราะพ่อแม่ไม่ตั้งใจก็เลยมานั่งกันอยู่เนี่ย

พ่อแม่จะตั้งใจหรือไม่ตั้งใจไม่ใช่สิทธิของแม่ที่จะตั้งใจหรือไม่ตั้งใจ มันเป็นสิทธิของจิตที่จะเกิดต่างหากล่ะ มันเป็นเรื่องการเกิดของกรรม ในเมื่อปฏิสนธิจิตมันมีกรรมของมัน มันจะต้องไปเกิดตามสัจธรรมของมัน มันเป็นผลของวัฏฏะใช่ไหม มันจะเกิดเองไม่ได้ มันจะเกิดเองก็เกิดเป็นโอปปาติกะ ถ้าจะเกิดเองก็เกิดเป็นเทวดาอินทร์พรหมสิ แต่นี่เพราะมันมีสายบุญสายกรรมขึ้นมา มันถึงต้องมาเกิดมีพ่อกับแม่ ถ้ามีพ่อมีแม่ก็มาเกิดเพราะมันมีสายบุญสายกรรม แต่มันก็เป็นเพราะพ่อแม่สมสู่กัน มันถึงเคลื่อนออกมาใช่ไหม น้ำกามกับไข่มันถึงเคลื่อนออกมา มันมีเวรมีกรรมต่อกัน ปฏิสนธิจิตมันเกิดที่นี่

ถ้าปฏิสนธิจิตมันเกิดที่นี่ ถ้ามันเกิดขึ้นมาแล้ว มันเกิดเพราะกรรม ไม่ได้เกิดเพราะความตั้งใจหรือไม่ตั้งใจของพ่อแม่หรอก พ่อแม่ตั้งใจอย่างไร ไม่ได้ตั้งใจอย่างไร ความพลั้งเผลออย่างไร ทำไมท้องขึ้นมาล่ะ ทำให้เกิดขึ้นมาได้อย่างไร นี่เพราะกรรมของผู้เกิด ผู้เกิดเกิดมาเพราะกรรมใช่ไหม เพราะกรรม มันเกิดขึ้นมาเพราะมันมีการกระทำของมันขึ้นมา พอเกิดขึ้นมาแล้วมันก็เป็นเราแล้ว แล้วพอเป็นเราขึ้นมามันเป็นเรื่องสุดวิสัยที่ไหนล่ะ มันเป็นเรื่องของกรรม เรื่องของการกระทำทั้งนั้น

เวลาเกิดขึ้นมาในพระพุทธศาสนาเห็นไหม แล้วเราออกประพฤติปฏิบัติขึ้นมา ถ้าเป็นความจริงขึ้นมา มันจะเป็นความจริงขึ้นมามันต้องเริ่มจากความสงบของใจ ถ้าใจไม่สงบขึ้นมามันเป็นความจำทั้งนั้น นิพพานจะเป็นอย่างไรก็แล้วแต่ว่าใครจะตีความไป แล้วอ้างอิงอะไรออกมาเป็นฐานรองรับ แต่ในการประพฤติปฏิบัติครูบาอาจารย์ของเราอ้างความจริงรองรับ อ้างผลการประพฤติปฏิบัติรองรับนี่นิพพานคือนิพพาน

นิพพานเป็นนิพพานเพราะอะไร เพราะมันเป็นจริงขึ้นมา แต่ถ้านิพพานเป็นนิพพานโดยกิเลส เห็นไหม เขาว่านิพพานคือนิพพาน ก็นิพพานสักแต่ว่านั่นไง ไอ้นิพพานสักแต่ว่านิพพานเพราะอะไร เพราะมันมีเราใช่ไหม ของสักแต่ว่ามันต้องมีคนเห็นว่ามันเป็นสักแต่ว่า มันเป็นสัญญาอารมณ์เป็นอารมณ์สอง เพราะมีความกระทบ ถ้าไม่มีการกระทบจะรู้ได้อย่างไรว่าเป็นสักแต่ว่า ถ้าสักแต่ว่า คน วัตถุสิ่งของ มันมีความรู้สึกรับรู้กันได้ไหม มันรับรู้กันไม่ได้ แต่คนจะรู้ว่าสิ่งนั้นมีอยู่เห็นไหม เห็นว่ามีอยู่ แต่ทำเกลียดตัวแต่กินไข่ มันสักแต่ว่าไง สักแต่ว่านิพพาน เพราะสักแต่ว่านิพพานก็มีเราพูดเห็นไหม นี้พอเราพูดขึ้นมา มันถึงเป็นอารมณ์สอง ถ้านิพพานสักแต่ว่านิพพาน นี่ไง ถึงบอกนิพพานของคนมีกิเลสไง

นิพพานเป็นกิเลสเพราะอะไร เพราะนิพพานสักแต่ว่านิพพานไม่ใช่เรา เพราะถ้านิพพานเป็นเราก็เป็นกิเลสใช่ไหม เป็นตัวตนใช่ไหม ไม่ใช่ ไม่ใช่เพราะอะไร ถ้าคนมีกิเลส มันก็เคลิ้มไป เคลิ้มว่านิพพานนะติดสมาธิติดอะไรต่างๆ ว่ามันเป็นสิ่งที่มันมีอยู่ แต่ถ้าเป็นผู้ประพฤติปฏิบัติขึ้นมาโดยสัจจะความจริงเพราะมีครูมีอาจารย์ มีอำนาจวาสนาบารมีที่เกิดขึ้นมาในพุทธศาสนา นี่เพียงแต่จะตั้งใจประพฤติปฏิบัติขึ้นมาเราก็เข่าอ่อนกันแล้วนะ คือพอบอกว่านิพพานเนี่ย นิพพานคือสิ้นสุดแห่งทุกข์ ทุกคนไม่กล้านะ ไม่กล้าขยับเลย มันเป็นเรื่องสุดวิสัย มันเป็นเรื่องเหลือกำลัง มันเป็นสิ่งที่เราจะไม่มีปัญญาไม่มีโอกาสที่เราจะจับต้องสิ่งนั้นได้เลย นี่มันเป็นความคิดความเห็น เห็นไหม มันเป็นความคิดความเห็นของกิเลสเพราะกิเลสมันปกคลุมใจอยู่แล้ว

ฉะนั้น บอกว่านิพพานเป็นสิ่งที่ทำใจ ให้ทำความรู้สึกสัญญาอารมณ์ ให้มันหายไป โดยเอาพุทธพจน์เอาคำสอนของพระพุทธเจ้ามาอ้างอิง นี่ไง สักแต่ว่า หรือว่านิพพานสักแต่ว่าเพราะอะไร เพราะมันสักแต่ว่า เนี่ย เป็นนิพพานแต่ก็ไม่รู้ว่าสิ่งใดที่มันเกิดขึ้นมา แต่ถ้ามันมีครูมีอาจารย์คอยสอนนะ มีความตั้งใจจริงไหม ถ้ามีความตั้งใจจริง เราศึกษาขึ้นมาแล้วเราอยากได้มรรคผลนิพพาน มันก็ต้องเริ่มต้นจากเรา

เริ่มต้นจากเราเห็นไหม ถ้าเรากำหนดพุทโธๆ ๆหรือใช้ปัญญาอบรมสมาธิขึ้นมา ถ้าจิตมันไม่สงบ จิตมันไม่สงบขึ้นมามันก็เป็นสัญญาอารมณ์หรือเป็นความคิดจินตนาการไปทั้งหมด เพราะอะไร เพราะปัญญา ๓ ขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า สุตมยปัญญา จินตมยปัญญา ภาวนามยปัญญา ปัญญา๓ระดับเนี่ย ภาวนามยปัญญาเป็นอย่างไร ปัญญาต้องมีการศึกษาอย่างเดียวใช่ไหม ปัญญาต้องเรียนปริยัติอย่างเดียวใช่ไหม ต้องจำธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้หมด ต้องตีความออกให้หมดใช่ไหม ต้องเข้าใจพุทธพจน์ ต้องเข้าใจภาษามคธ เข้าใจภาษาบาลี ต้องเข้าใจหมดใช่ไหม เพราะภาษาบาลี มันก็เป็นภาษาๆหนึ่งเหมือนกัน

คำว่าภาษาเห็นไหม ดูสิ เวลาครูบาอาจารย์ของเราที่สิ้นสุดแห่งทุกข์ไปแล้ว การแสดงออกจึงเป็นกิริยาทั้งหมด สิ่งนี้เป็นเพียงกิริยา เพราะสิ่งที่เป็นความจริง นิพพานคือนิพพานเพราะมันแสดงออกมาไม่ได้ สิ่งที่เป็นนิพพานเห็นไหม เพราะนิพพานมันแสดงออกมาไม่ได้ ตัวมันเองแสดงออกมาไม่ได้ แต่เพราะมันมีจริงของมันใช่ไหม นิพพานคือนิพพาน ตัวมันเองเป็นนิพพานอยู่แล้ว จะแสดงออกมานี่ จะแสดงออกมาจากกิริยา กิริยาเห็นไหม จิตเสวยอารมณ์ ถ้าจิตไม่เสวยอารมณ์ จิตมันไม่เสวยอารมณ์ จิตมันไม่เสวย มันก็ จิตไม่เสวยเห็นไหม มันก็เป็นภพ ผู้ประพฤติปฏิบัติใหม่ๆ จิตไม่เสวยอารมณ์เป็นภพนะ เป็นภพเพราะอะไร เพราะมันมีความรับรู้รู้สึกอยู่ แต่เวลามันทำลายเห็นไหม เวลาจิตเป็นมัธยัสถ์แล้วทำลายมันหมดเลย ทำลายมันหมดแล้วเห็นไหม

ถ้ามันเสวยอารมณ์โดยกิเลสตัณหาความทะยานอยาก เพราะเรามีกิเลสอยู่ เวลาจะเสวยอารมณ์เห็นไหม เวลาความคิดที่มันเกิดที่มันฟุ้งซ่านเนี่ย มันเกิดความฟุ้งซ่านมาจากสิ่งใด มันเกิดความฟุ้งซ่านเพราะตัวตนของเราเนี่ยมันไปโดยสัจจะ โดยความจริง โดยสัญชาตญาณ โดยความเป็นไปของมัน โดยความเป็นไปของสถานะของมนุษย์ที่มันมีธาตุ ๔และขันธ์ ๕ เนี่ย สิ่งนี้มันเป็นไปโดยธรรมชาติเลย สิ่งนี้มันเป็นทางวิทยาศาสตร์ มันเป็นภพน่ะ มันเป็นสถานที่ มันต้องเป็นอย่างนี้ มันต้องเป็นของมันอย่างนี้ แล้วถ้าไม่มีธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าขึ้นมา เข้ามาใคร่ครวญ เข้ามาไตร่ตรอง เข้ามาชำระล้าง ใครจะมาทำอย่างนี้ไว้ได้

ถ้าสิ่งนี้ นี่ เวลาจิตเสวยอารมณ์โดยสามัญสำนึก โดยกิเลสตัณหาความทะยานอยาก แต่เวลาประพฤติปฏิบัติขึ้นมา ชำระล้างขึ้นมา เป็นชั้นเป็นตอนเข้ามา ชำระล้างเป็นขั้นเป็นตอน ต้องเป็นโสดาบัน สกิทาคา อนาคา ขึ้นมา จนถึงจิตมัธยัสถ์ เป็นโสดาบันเพราะอะไร เพราะ เอ้า ถ้าเป็นโสดาบันก็ไปยึดมั่นถือมั่นโสดาบันอีกแล้วนะ แล้วถ้าเป็นโสดาบันน่ะ เป็นสกิทาคา อนาคา ก็ยึดมั่นถือมั่นขึ้นมาอีกแล้ว แล้วมันจะเกิดขึ้นมาได้อย่างไร มันเป็นจริงของมัน มันเป็นจริงเพราะมันทำของมัน ร้อนก็รู้ว่าร้อน หนาวก็รู้ว่าหนาว เนี่ย ฤดูกาลมันเปลี่ยนแปลงน่ะ จิตมันสัมผัสมันก็รับรู้ อุณหภูมิมันเปลี่ยนแปลง มันก็เปลี่ยนแปลงของมัน เวลาจิตมันพัฒนาขึ้นมา มันก็เปลี่ยนแปลงของมันเป็นชั้นเป็นตอนขึ้นมาน่ะ มันเป็นปัจจัตตัง เป็นสันทิฏฐิโก เป็นการกระทำตามความเป็นจริง

พอเป็นจริงขึ้นมาเห็นไหม พอจิตมันเป็นมัธยัสถ์ขึ้นมา มันทำลายตัวภพ ทำลายตัวจิตหมดแล้ว นี่ทำลายตัวจิตหมดแล้วนี่ไงธรรมธาตุ สิ่งนี้คือธรรมธาตุ นิพพานคือนิพพาน และถ้านิพพานมันเสวยอารมณ์ล่ะ นิพพานเสวยอารมณ์อะไรอีก ถ้านิพพานไม่ได้เสวยอารมณ์ เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า “อานนท์ เรากระหายน้ำเหลือเกิน เธอต้องเอาน้ำมาให้เราดับกระหาย” กระหายทางร่างกาย ร่างกายกระหายน้ำ เห็นไหม กระหายน้ำ แล้วที่พูดออกมาล่ะ คำพูดออกมาว่ากระหายน้ำน่ะ นี่กิริยาของจิต กิริยาของสิ่งที่เป็นธรรมธาตุ

สิ่งที่เป็นธรรมธาตุมันเสวยอารมณ์เห็นไหม มันเสวยอารมณ์ นี่ไง สอุปาทิเสส นิพพาน สะ คือ ความคิด ขันธ์ ๕ ความคิดนี้ ขันธ์ ๕ นี้ เนี่ย ธรรมห้าเห็นไหมที่ว่า ท่อน้ำกับน้ำ ท่อน้ำคือร่างกายนี้ พอร่างกายนี้มันมีน้ำหล่อเลี้ยงอยู่ น้ำหล่อเลี้ยงคือใจ แล้วมันสะอาดบริสุทธิ์หมดเห็นไหม โดยปกติเราเนี่ย ท่อน้ำคือร่างกายของเรา แต่จิตใจของเรามันเป็นน้ำคร่ำ มันเป็นน้ำเน่า มันเป็นตัณหาความทะยานอยากเห็นไหม มันเสวยอารมณ์มันดันออกมาจากท่อน้ำนั่นเหมือนกันทั้งนั้น แต่เวลามันใสสะอาดบริสุทธิ์ขึ้นมาแล้ว เห็นไหม ใสสะอาดบริสุทธิ์ น้ำน่ะ สอุปาทิเสสนิพพาน น้ำมีประโยชน์ในทุกๆ อย่าง น้ำสะอาดบริสุทธิ์ เป็นประโยชน์กับอุตสาหกรรม เป็นประโยชน์กับพืชผลการเกษตร เป็นประโยชน์กับชีวิตมนุษย์ เป็นประโยชน์หมดเลย แต่มันก็มีแรงดันของมันเห็นไหม มีแรงดันมีแรงขับของมันเห็นไหม

แรงขับเนี่ย เสวยอารมณ์ เสวยอารมณ์ เพราะมันยังมีอยู่ใช่ไหม แต่เวลาอนุปาทิเสสนิพพานล่ะ เวลามันตายแล้ว เวลามันตายขึ้นมา เพราะจิตเนี่ยมันทำลายไปหมดแล้ว เพราะน้ำสะอาดบริสุทธิ์ เวลามันระเหยไปหมด มันไม่มีสิ่งใดๆ เหลือไว้เลย แต่ท่อน้ำนั้นเขาก็เผาทิ้ง ร่างกายทุกคนเขาก็เผาทิ้งหมด แต่ถ้าเป็นน้ำโสโครกเห็นไหม เวลาระเหยขึ้นไป มันก็ตกตะกอนไง มันมีธาตุเหล็ก ธาตุทุกๆอย่างมีหมดเลย ธาตุอันนี้เห็นไหม กิเลสตัณหาความทะยานอยากเนี่ยมันไป สิ่งที่มันไปเนี่ย พอมันทำความสะอาด สิ่งที่แสดงออกคือเป็นกิริยา

นี่ มันเสวยอารมณ์มันเป็นกิริยาออกมา เนี่ย นิพพานคือนิพพาน นิพพานใช่ไหม ก็ สิ่งที่เป็นจริง พูดตามความเป็นจริง ไม่มีตัวตน ไม่มีตัวตนเพราะจิตเป็นมัธยัสถ์ แล้วมันทำลายจิต ทำลายทุกอย่างหมดเลย พระอรหันต์ถึงไม่มีจิตไง พระอรหันต์ไม่มีจิต จิตพระอรหันต์นี้คือสมมติ คือ พูดให้เด็กฟังน่ะ จะบอกว่า ธรรมธาตุแล้วจับต้องตรงไหน ในเมื่อเราจะพูด ในเมื่อสิ่งที่เป็นประโยชน์กับโลก เขาจะพูดให้โลกฟัง ให้โลกนี้จับต้อง ให้โลกได้เทียบเคียงได้ เทียบเคียงได้ว่ามันเป็นอย่างใด นี้ภาษาสมมติหมดนะ นี่ไง ตัวคำว่ากิริยาไง คำว่ากิริยาคือความรู้สึกนี้คือกิริยาหมดเลย แล้วเป็นอันนั้นน่ะ เห็นไหม

นิพพานคือนิพพานคือมันอยู่ที่นั่น แต่ถ้ามันจะอยู่ที่นั่นได้มันต้องมีเหตุมีผลรองรับมันขึ้นมา ถ้ามีเหตุมีผล สิ่งที่รองรับมันเอามาจากไหนล่ะ เอามาจาก นี่ไง ตั้งแต่เราเกิดนะ เราไม่ได้เกิดจากความบังเอิญของพ่อแม่หรอก เราเกิดจากเรานี่แหละ เราเกิดจากเราเพราะจิตนี้มันต้องเกิด ถ้าไม่เกิดเป็นมนุษย์ มันก็เกิดในนรกอเวจี เกิดในวัฏฏะ มันต้องเกิดอยู่แล้ว มันมีของมันอยู่อย่างนี้ มันมีของมันอยู่อย่างนี้ แต่มันเป็นความลึกลับมหัศจรรย์ นี่เรื่องของจิตนะ

นี่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามาใคร่ครวญตรงนี้ วางธรรมและวินัยไว้เนี่ยเพื่อให้เกิดการประพฤติปฏิบัติ ปริยัติแล้วให้ปฏิบัติ ไม่ใช่ปริยัติแล้วเป็นสมบัติของกู ของกู เนี่ย มันไม่มีหรอก นก เห็นไหม ที่มันร้อง ของกู ของกู เนี่ย แล้วมันก็ตายเปล่าไง นี่ก็เหมือนกัน ปริยัติ ธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเนี่ย ศึกษาแล้วให้ปฏิบัติ ถ้าปฏิบัติไปแล้วเนี่ยเห็นไหม สิ่งที่เป็นภาคปฏิบัติขึ้นมาเนี่ย นิพพานคือนิพพาน มันจะเป็นอนัตตาไปไหน มันจะสักแต่ว่าไปไหน สักแต่ว่านั่นแหละมันคือตัวตน แต่ถ้ามันเป็นนิพพานเป็นนิพพานขึ้นมา เพราะมันประพฤติปฏิบัติขึ้นมาเห็นไหม

เริ่มต้น ตั้งแต่น้ำสกปรก ท่อน้ำนั่นมีแต่น้ำคร่ำทั้งนั้นนะ แล้วจะทำอย่างไรให้มันสะอาดบริสุทธิ์ชั่วคราว คำว่าชั่วคราวเห็นไหม ถึงจะมีแร่ธาตุมีอะไรต่างๆ แต่ที่สะอาดบริสุทธิ์อย่างนั้น มันเอาสิ่งที่สะอาดบริสุทธิ์นี้ไปเพื่อประกอบสัมมาอาชีวะ ประกอบประโยชน์กับมันขึ้นมา จิตถ้ามันเป็นน้ำคร่ำใช่ไหม มันใช้อะไรไม่ได้หรอก สิ่งที่เราเป็นกันเนี่ย แล้วน้ำคร่ำดันไปจำธรรมะพระพุทธเจ้าได้นะ จำได้หมดเลย เนี่ย น้ำคร่ำนี่มันก็มีความสะอาดในตัวมันเอง ที่มันสกปรกนี้เพราะมันมีสารตกค้างอยู่ มันเลยสกปรก นี่ ธรรมะพระพุทธเจ้าไง

ธรรมะพระพุทธเจ้าเราก็รู้อยู่แล้วนี้ ถ้ามันสะอาดบริสุทธิ์มันปล่อยวาง มันก็ไม่มีกิเลสไง ถ้ารู้เท่าไม่ยึดมั่น ไอ้ที่กิเลสเกิดเพราะยึดไง นี่ปริยัติเขาพูดกัน ปริยัติพูดปฏิบัติ เนี่ย สิ่งที่กิเลสเกิดนี่นะ เพราะมันยึดมั่นถือมั่น ถ้าปล่อยความยึดมั่นถือมั่นมันก็นิพพานน่ะ รู้เท่าแล้วดับหมดเลย กิเลสไม่มีเลยถ้ารู้เท่านะ ปริยัติ แต่พูดธรรมะของพระพุทธเจ้า แต่ปฏิบัติไม่เชื่อนะ ไม่เชื่อหรอก ว่าความรู้เท่า ความเสมอกันแล้วมันจะละกิเลสได้ เป็นไปไม่ได้เลย เป็นสิ่งที่เป็นไปไม่ได้ เพราะเขาไม่เคยประพฤติปฏิบัติขึ้นมา แต่ถ้าประพฤติปฏิบัติขึ้นมาเห็นไหม ดูสิน้ำคร่ำ เราต้องทำให้มันสะอาดขึ้นมา พอมันสะอาดขึ้นมา

สะอาดด้วยอะไร สะอาดด้วยคำบริกรรม สะอาดด้วยคำบริกรรม ถ้าเราบริกรรมพุทโธๆๆหรือใช้ปัญญาอบรมสมาธิขึ้นมา เนี่ย สิ่งที่เป็นน้ำคร่ำเห็นไหม เราทำให้มันสะอาดขึ้นมา พอมันสะอาดขึ้นมาได้ นี่ มันสะอาดจริงๆ ไม่ใช่ว่าตามปริยัติ ปริยัติเห็นไหม เพราะมนุษย์มันมีความรู้สึก มันมีร่างกายกับจิตใจน่ะ แต่พอมันมีความยึดมั่นถือมั่นก็เป็นทุกข์น่ะ เป็นกิเลสตัณหาความทะยานอยาก เพราะความยึดมั่น ถ้าเราไม่ยึดมั่นขึ้นมา มันก็ไม่มี เห็นไหม ไม่มีก็นิพพาน นิพพานก็สักแต่ว่านิพพาน ตัวตนมันค้ำตัวเองอยู่นั่นน่ะ ค้ำตัวเองเพราะความรู้สึกมันเต็มตัวของมัน ความรู้สึกเราเต็มตัวของเรา นิพพานสักแต่ว่านิพพานมันเป็นปริยัติล้วนๆน่ะ เนี่ยมันเป็นปริยัติล้วนๆ ต้องเป็นสักแต่ว่านะ เพราะนิพพานเป็นของเราไม่ได้ นิพพานก็เชิดชูว่านิพพานอยู่นั่นน่ะ แล้วก็นิพพานเป็นสักแต่ว่า นิพพานเป็นอนัตตา อนัตตามันกว้างขวาง แล้วก็มาพูดกันได้น่ะ พูดนิพพาน พูดธรรมะของพระพุทธเจ้า แต่ตัวเอง ตัวตนมันเต็มตัวอยู่

แต่ถ้าทำความสงบของใจเข้ามาเห็นไหม การทำความสงบของใจก็คือการรู้เท่านั่นแหละ สิ่งรู้เท่านี่นะ ถ้าพูดถึงปัญญา การรู้เท่า เพราะรู้เท่าตัวตน รู้เท่าตัวเองหมด พอรู้เท่าตัวเอง กิเลสมันอาย พอกิเลสมันอายมันจะกลับเข้าไปสู่ที่ตั้งของมัน กิเลสกลับเข้าไปสู่ที่ตั้งของจิต ปฏิสนธิจิต ปฏิสนธิวิญญาณ ไม่ใช่วิญญาณรับรู้ในขันธ์ ๕ นี้ วิญญาณรับรู้ในขันธ์ ๕ นะ รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ วิญญาณรับรู้ทางอายตนะ วิญญาณรับรู้ทางข้อมูล วิญญาณรับรู้ในการศึกษา วิญญาณรับรู้ทางวิชาชีพ

วิญญาณอย่างนี้ มารเอย เธอเกิดจากความดำริของเรา เราจะไม่ดำริถึงเจ้าอีกแล้ว เจ้าจะเกิดจากเราไม่ได้เลย สิ่งที่รับรู้รับรู้อยู่นี้ มันเป็นวิญญาณทางอายตนะเห็นไหม แต่ไอ้ตัวปฏิสนธิจิต ไอ้ตัววิญญาณทางปฏิจจสมุปบาทน่ะ มันเป็นอวิชชา สิ่งที่เป็นอวิชชาน่ะ มันเป็นน้ำเน่า มันเป็นสิ่งโสโครก พอมันโสโครกมันผ่านออกมาจากความคิดน่ะ มันก็ไปยึดหมดน่ะ แล้วพอไปรู้เท่ามันจะปล่อย มันเป็นไปไม่ได้เลย มันเป็นสิ่งที่เป็นไปไม่ได้ เพราะเขาไม่เคยปฏิบัติ เขาไม่เคยรู้จริงในสัจจะความจริงเลย แต่พูดธรรมะของพระพุทธเจ้านะ แล้วผู้ที่ประพฤติปฏิบัติขึ้นมา ก็มาบอกว่า บีบธรรม มันไม่ได้บีบธรรม มันเข้าไปถึงจุดปฏิสนธิจิตแล้วมันทำลายกันที่นั่น

พระอรหันต์ทุกองค์ต้องไปทำลายกันตรงนั้น แล้วบอกว่า มันไปบีบคั้น บีบคั้น บีบคั้นเพราะอะไร เพราะตัวเองทำไม่เป็น ตัวเองหาสิ่งนั้นไม่เป็น เวลาเราทำความสงบของใจเข้ามาเนี่ย เห็นไหม สู่ฐีติจิต สู่จิตเดิมแท้ของเรา สู่ฐีติจิต สู่จิตเดิมแท้ คือสิ่งที่พอรู้เท่า กิเลสมันเข้าไปสู่ที่ตั้ง พอกิเลสเข้าไปสู่ที่ตั้งเห็นไหม กิเลสเข้าไปสู่ที่ตั้ง เราจะทำอย่างไร เอากิเลสออกมาตีแผ่ ถ้าเราไม่เอากิเลสออกมาตีแผ่เห็นไหม เพราะเราไม่เกิดวิปัสสนา ไม่เกิดวิปัสสนาญาณ ไม่เกิดญาณทัสนะ ไม่เกิดความเห็น แต่เนี่ย ญาณทัสนะ ก็ทัศนะ คือ ทัศนคติ ก็รู้แล้วเห็นแล้ว ศึกษาธรรมะ เขาเข้าใจแบบวิทยาศาสตร์ เขาเข้าใจแบบโลกๆไง ครูบาอาจารย์บอกโลกไม่ใช่ธรรม ธรรมเหนือโลก โลกไม่ใช่ธรรม โลกทัศน์ ความเห็น ความคิด ความคิดของเราเนี่ย โลกียปัญญา ความคิดของโลกๆ ทั้งนั้น ทั้งๆ ที่ศึกษาธรรมะของพระพุทธเจ้า

เหมือนลูกเลย ลูกน่ะ พอถึงวันนะ แบมือของตังค์แม่อย่างเดียว แม่ให้ตังค์ตลอดเวลาเลย พ่อแม่นี้ให้ตังค์ลูกอย่างเดียวเลยนะ แล้วลูกนี่ทำงานเป็นไหม เพราะมันได้ตังค์มาจากการแบมือขอ แต่ถ้าเราเติบโตขึ้นมา มันมาทำธุรกิจ ทำการค้า ทำหน้าที่การงานของมัน มันได้ผลตอบแทนมาดำรงชีวิตของเขา นี่ก็เหมือนกัน ธรรมะของพระพุทธเจ้า แบมือขอนะ ต้องเป็นอย่างนั้น ต้องเป็นอย่างนั้น แต่ไม่มีการกระทำ ไม่เกิดการกระทำขึ้นมาเลย นั่นคือ ปริยัติ ถ้าพอปฏิบัติขึ้นมาเห็นไหม ที่เขาบอกว่า กิเลสมี มีเพราะไปยึดมั่น ถ้าไม่ยึดมั่น กิเลสก็ไม่มี สิ่งใดก็ไม่มี โอ้ มันง่ายขนาดนั้นเนาะ เพราะมันง่าย มันง่ายเกินไป พอมันง่ายเกินไปแล้วนะ

แล้วยังว่าผู้ที่ประพฤติปฏิบัติขึ้นมานะมันเป็นอัตตกิลมถานุโยค มันเป็นการแบบว่าตีกรอบว่าต้องพูดอย่างนั้นให้เหมือนกัน จะพูดแตกต่างไม่ได้ ทำไมจะพูดแตกต่างไม่ได้ พูดแตกต่างนะ ยิ่งแตกต่างนะยิ่งสุดยอดเลย หลวงปู่มั่น เวลาครูบาอาจารย์ท่านออกไปเที่ยววิเวกแล้วกลับมาเห็นไหม เวลามากราบหลวงปู่มั่น แต่ละองค์มาเห็นไหม หลวงปู่มั่นน่ะ เคยบอกลูกศิษย์ไว้เลยนะ หลวงปู่ขาวน่ะ ท่านได้คุยกับเราแล้วนะ หลวงปู่พรหมอย่างนี้

นี่ ครูบาอาจารย์ที่ได้คุยกับเราแล้วนะ แล้วความเห็นมันแตกต่างไหม มันแตกต่างกันหมด หลวงปู่ชอบก็ความเห็นแตกต่าง แม้แต่พิจารณากายเหมือนกันมันก็แตกต่าง ความเหมือน เหมือนไม่ได้ มันต้องมีความแตกต่าง แต่ความแตกต่างต้องแตกต่างตามข้อเท็จจริง แตกต่างที่มันทำแล้วได้ผลตามความเป็นจริง ดูสิ เรามานั่งกันอยู่นี้ เรามีอาชีพแตกต่างกันไหม เรามีอาชีพเดียวกันหรือ เราต้องอาชีพเหมือนกันใช่ไหม เราต้องได้ผลค่าเงินตอบแทนเท่ากัน มันเป็นไปได้ไหม มันเป็นไปไม่ได้เลย

มันเป็นไปไม่ได้เพราะ หนึ่ง ความสามารถของเรา ความรู้จริงของเรา ภูมิปัญญาของเราเนี่ย มันก็ไม่เท่ากัน อำนาจวาสนาบารมีของเราที่สร้างมาแตกต่างกันมันก็ไม่เท่ากัน แต่ทุกคนเนี่ย พูดถึงโลกนะ ดูสิ นิ้วมือเรานี่ มันเท่ากันไหม นิ้วมือ ๕ นิ้วก็ไม่เท่ากัน แต่มันใช้ประโยชน์แตกต่างกันนะ ทุกนิ้วมันมีคุณค่าหมดเลย ขาดไปนิ้วใดนิ้วหนึ่งนะ การทำงานมันจะไม่เป็นปกติแล้ว ทีนี้ คุณค่าของใจ คุณค่าของการเกิด คุณค่าของความรู้สึกอันนี้มันมีคุณค่ามาก ถ้ามีคุณค่าขึ้นมาแล้วนี้เห็นไหม ในการประพฤติปฏิบัติ ในการกระทำออกไปนี่ มันจะเหมือนกันนะ หน้าที่การงานของคนมันแตกต่างออกไป แต่ผลน่ะ ผลตอบสนองมาก็คือปัจจัยเครื่องอาศัยใช่ไหม

สิ่งต่างๆในการประพฤติปฏิบัติ แตกต่างไม่ได้น่ะ แตกต่างได้ แต่แตกต่างเป็น ไม่ใช่ไม่แตกต่าง ไอ้นี่มันไปยึดมั่นถือมั่น ยึดไปหมดเลย หลงติดกับทฤษฎี หลงติดกับธรรมะของพระพุทธเจ้า ธรรมะของพระพุทธเจ้าท่านให้ศึกษา พระพุทธเจ้าน่ะ ท่านบอกเลย เราไม่สามารถชำระกิเลสใครได้ เราเป็นเพียงผู้ชี้ทางให้เท่านั้น เราจะต้องประพฤติปฏิบัติขึ้นมาตามความเป็นจริงเท่านั้น นี่ พระพุทธเจ้าไม่ให้ติดนะ ผู้ใดปฏิบัติธรรม ผู้ใดปฏิบัติเหมือนเรา จะอยู่ถึงภาคตะวันตกขนาดไหนก็เหมือนอยู่กับเรา ผู้ใดจับชายจีวรเราไว้ แต่ไม่ประพฤติปฏิบัติตามเรา เหมือนกับอยู่ห่างไกล มันไม่ได้ลิ้มรสเลยนะ ไม่ได้ลิ้มรสธรรมะของพระพุทธเจ้าเลย แต่จะพูดว่าต้องเป็นสัจธรรมอย่างนั้น

แต่ถ้าเราปฏิบัตินะ เวลามันชำระขึ้นไป มันเป็นชั้นเป็นตอนขึ้นไป มันต้องเป็นความจริงนะ อย่างเช่น เราสงบแล้ว เราใช้ปัญญาของเรา ปัญญานี่ มันจะเป็นปัญญาในกาย ในเวทนา ในจิต ในธรรม ถ้าพิจารณาในกายในจิตในธรรม มันพิจารณาของมันไป ถ้าพิจารณาตามความเป็นจริงของมันไป มันแตกต่างหมดนะ ในการปฏิบัติมันแตกต่างหมด แม้แต่สมาธิแม้แต่ความสงบของใจ มันก็ยังมี ขณิกสมาธิ อุปจารสมาธิ อัปปนาสมาธิ นี่คือกรรมฐาน กรรมฐานเราพูดอย่างนี้ ไม่ใช่ฌาน ๑ ฌาน ๒ ฌาน ๓ ฌาน ๔ ไอ้ ฌาน ๒ ฌาน ๓ ไอ้นั่นมัน ฌานสมาบัตินะ มันอีกกรณีนึง เพราะฌานสมาบัติเห็นไหม จะบอกว่าไม่เป็นมิจฉาสมาธิหรอก แต่ว่า คำว่าสมาธิเนี่ย คำว่าสมาธิ คำว่าสมาธิมันจะมีสติของมัน มีสติของมัน มีความรับรู้ของมัน เรารับรู้ตัวเราเองนะ อย่างเช่น พวกเรานั่งกันอยู่นี้ เราเป็นคนปกติใช่ไหม เราไม่ใช่คนใบ้บ้าเสียจริตนะ ถ้าเราไม่ใช่คนใบ้บ้าเสียสติ เราไม่รู้จักตัวเราเองเลยหรือ นี่ก็เหมือนกัน แต่ถ้าเราเป็นคนใบ้บ้าเสียสตินะ เราก็นั่งอยู่นี่ นั่งตาเหม่อตาลอยอยู่นี่ เราเองไม่รู้จักตัวเราเองนะ ต้องให้คนบอกนะ นี่ กลับโรงพยาบาลได้แล้ว โรงพยาบาลน่ะเขารอให้ยาอยู่ แม้แต่รับยา เรายังต้องให้คนบอกเลย

นี่ก็เหมือนกัน ในเมื่อถ้ามันเป็นสมาธิจริงนะ มันมีสติปัญญาของมันจริง มันเหมือนเรา เราไม่ใช่คนใบ้บ้า เรามีสติปัญญาเรารับรู้ตัวของเราเองได้ ถ้ามันมีสมาธิของมันนะ มันจะรู้ตัวมันเองโดยสมบูรณ์แบบ แต่ถ้ามันเป็นคนใบ้บ้า เป็นคนที่ต้องให้คนคอยบอกว่า ต้องไปรับยานะ ขาดยาไม่ได้นะเดี๋ยวจะตาลอย นี่ อย่างนี้เป็นสัมมาสมาธิไหม นี่ ไม่ใช่สัมมาสมาธิหรอก ถ้าเป็นสัมมาสมาธิมันจะเป็นปกติ มันจะรับรู้ของมัน รู้ในรสชาติ ใจฟุ้งซ่านก็รู้ว่าฟุ้งซ่าน เวลาทุกข์ทุกคนก็รู้ว่าทุกข์ เวลาอารมณ์ขึ้นมาน่ะทุกคนรู้หมดเลยเพราะมันทุกข์มันยากอยู่ในใจของเรา

แล้วเวลาศึกษาธรรมเข้ามา ก็มาปฏิบัติแล้วน่ะ ศึกษาธรรมพระพุทธเจ้าเนี่ย โห มันก็ว่างหมด มันก็สบายหมด มันก็สบาย โดยไม่ต้องปฏิบัติมันก็สบาย โยมไม่ต้องปฏิบัติ ไม่ต้องศึกษาธรรมะพระพุทธเจ้าเลย เนี่ย อยู่กับโลกเนี่ย แล้วก็มีเงินใช้สอย มีอะไรต่างๆ มันก็สบายใจขึ้นมา เขาพาไปสุขสำราญทางโลกน่ะ มันมีความพอใจไหม มันก็มีพอใจ สบายใช่ไหม ตอนที่มีความสุขก็สบาย แล้วสบายจริงหรือเปล่า นี้ มันมีหนี้สินขึ้นมา มันมีทุกๆอย่างหมดนะ นี่ก็เหมือนกัน ศึกษาธรรมะพระพุทธเจ้าแล้วสบายๆ สบายจริงหรือ คำว่าสบายๆ มันก็เหมือนเริ่มต้นปริยัตินี่แหละ เวลาศึกษาปริยัติขึ้นมา เวลาศึกษาขึ้นมาแล้วนี่ เรารู้ เรารู้ช่องทาง เหมือนกับเรารู้ช่องทาง เหมือนกับเราต้องการประกอบสัมมาอาชีวะ เรารู้ช่องทางการทำมาหากินใช่ไหม ว่าการทำมาหากินอย่างนี้ มันจะประสบความสำเร็จ แล้วการทำมาหากินนี้มันจะตอบสนองให้สิ่งที่ดี

นี่ไง เราศึกษาธรรมะของพระพุทธเจ้านี่ไง พอคนมีช่องทางออกนะ อืม เราไปได้แล้ว เรามีทางไปแล้ว อู๊ย สุขสบายมากเลย มันจะประสบความสำเร็จ ประสบจริงหรือ ประสบหรือยัง นี่ไง คำว่าสบาย ทุกคนว่าสบายๆ คนเรานี่นะ ถ้ามันตอบสนอง ได้เสพสิ่งใดเป็นอามิส สิ่งที่เป็นอามิสได้เสพสุขแล้ว มันก็เป็นความสุขอยู่ชั่วคราว เหมือนคนกินเหล้าเลย คนกินเหล้าเมาแป๋เลยนะไม่กินอีกแล้ว พอแล้ว อย่าเผลอนะ นี่ก็เหมือนกัน มันสุขสบายนะ ศึกษาแล้วก็สบายๆน่ะ เราจะบอกว่า มันเป็นธรรมชาติของจิตมันเป็นอย่างนี้เอง จิตของคนเราน่ะ ถึงที่สุดแห่งทุกข์นะ ทุกข์ที่สุดแล้ว พอถึงที่สุด มันก็ทนได้ มันก็เปลี่ยนไป มันก็พอจะมีความสุขของมัน พอสุขแล้วเดี๋ยวก็กลายเป็นทุกข์อยู่อย่างนั้น มันเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา

แต่นี่พอศึกษาแล้วสบายๆ คำว่าศึกษาแล้วสบายๆ มันก็เหมือนคนเราเลย คนที่เป็นนักกีฬานี่ ถ้าร่างกายแข็งแรง เรามีโอกาสแข่งขัน เรามีโอกาสแข่งขันนะ เพื่อประโยชน์ทำคะแนนของเราเนี่ย เราควรจะทำให้เป็นประโยชน์ ให้เป็นข้อเท็จจริง เราเป็นนักกีฬา เราจะมีโอกาสแข่งขันนะ แต่ไม่แข่ง ซ้อมอยู่นั่นน่ะ ซ้อมเนี่ยเป็นเซียนในสนามซ้อมไง เป็นหมูในสนามแข่งไง ว่าเอาจริงๆก็แพ้ทุกทีเลย แต่พอซ้อม สบายๆ ทำอย่างไร ก็ได้ สบาย มันอยู่ตัวของมันคนเดียว มันไม่เป็นความจริงขึ้นมาเห็นไหม แต่ถ้าจิตมันสงบขึ้นมา มันเป็นความจริงของมันขึ้นมานะ มันต้องแข่งขัน มันต้องลงไปทำกิจกรรม มันต้องแข่งขันขึ้นมา

ถ้าจิตมันลงไปทำแข่งขันขึ้นมา แข่งขันกับอะไร กิเลสกับธรรมนี่ เวลาสุขสบาย เวลามันมีสติสัมปชัญญะ นี่ ธรรมะ แต่เวลากิเลสมันตื่นขึ้นมา มันกระทืบทีเดียว หงายท้องเลย เพราะคนปฏิบัติทุกๆคนนะ ต้องมีอุปสรรคทั้งนั้น เพราะกิเลสนะ เราจะฆ่าเขา เขาจะยอมให้เราฆ่าโดยง่ายๆเป็นไปได้อย่างไร เราจะฆ่ากิเลสนะ กิเลสมันมากับเราตลอด เหมือนชีวิตเราเห็นไหม กิเลสกับจิตเราก็คบกันมาตั้งแต่ดึกดำบรรพ์ไม่มีต้นไม่มีปลาย กิเลสกับจิตมันคบกันมาตลอด ถึงเวลาเราจะตีจากมันไป มันจะยอมให้เราไปไหม ศึกษาธรรมะของพระพุทธเจ้านี้แหละ แล้วมันจะยอมให้เราไปไหม ศึกษาธรรมะของพระพุทธเจ้า ก็ศึกษาด้วย แล้วก็เห็นดีเห็นงามไปหมดเลย เออ สบายเห็นไหม เออ สบายก็บรรลุธรรมแล้วไง ก็ไม่ต้องปฏิบัติหรอก อยู่ในอุ้งตีนเราอย่างนี้ไป มันก็หลอกกินเราไปตลอดเห็นไหม กิเลสมันอยู่กับเรามาตลอดน่ะ มันจะยอมพลัดพรากจากเราไปง่ายๆหรือ

เห็นไหม กิเลสกับธรรมในหัวใจที่มันต่อสู้กันน่ะ ถ้ามันต่อสู้กัน มันต้องเห็นสิ เราคบกันมาตั้งแต่อดีตชาติ ตั้งแต่การเกิดและการตายไม่มีต้นไม่มีปลายมาตลอดยาวนานขนาดนี้ แล้วเราจะเสียสละ เราจะพลัดพรากจากเขา แล้วเราจะทำอย่างไร ทำอย่างไรเห็นไหม เราออกใช้ปัญญา ปัญญามันจะออกใช้ในกาย ในเวทนา ในจิต ในธรรม ในกายนี่ เกิดมาเป็นมนุษย์ทุกคนน่ะ สิ่งที่มีคุณค่าในชีวิตของเรา สิ่งที่มีคุณค่าที่สุดคือร่างกายของเรา เราจะมีเงินทองมากน้อยขนาดไหน ถ้าเรามีร่างกายสมบูรณ์อยู่เนี่ย เรายังหาเงินหาทองได้ตลอดเวลา

ร่างกายที่สมบูรณ์มันเป็นสมบัติของเรา ใครบ้างจะไม่รักไม่สงวนไม่รักษา มันเป็นธรรมชาติ มันเป็นความจริงอันหนึ่งว่าร่างกายนี้เป็นของเราทั้งนั้นน่ะ จิตใต้สำนึกมันบอก แต่ธรรมะพระพุทธเจ้าบอกว่า ไม่ใช่ของเรา มันเป็นของยืม ของยืมเพราะอะไร ของยืมเพราะว่ามันเกิดมาชั่วคราว มันจริงนะ จริงหมดตามที่พูดนั่นแหละ มันไม่ได้ยืมอะไรหรอก เพราะเวลาตายมันก็ไปจริงๆนั่นน่ะ แต่ธรรมพระพุทธเจ้าสอนไว้ เราก็สร้างภาพขึ้นมา มันเป็นของยืม เราก็เข้าใจน่ะ พูดแต่ปาก

ถ้ามันเป็นความจริงขึ้นมา สัจจะความจริงมันขึ้นมาจากใจนี่มันละได้ที่ใจ มันละอย่างไร แล้วมันปล่อยอย่างไร ถ้ามันละได้ที่ใจเห็นไหม พิจารณากาย กายมันเป็นสภาวะอย่างไร มันปล่อยอย่างไร แล้วใจเนี่ยที่มันเห็นน่ะ ญาณทัสนะที่เห็นตามความเป็นจริงพิจารณากายเห็นกายตามความเป็นจริง มันปล่อยกายอย่างไร ถ้ามันปล่อยกาย มันปล่อยแล้วมันมีผลตอบสนองอย่างไร เพราะมันปล่อย มันปล่อยได้ทั้งนั้นนะ ปล่อยด้วยความจริงก็ได้ ปล่อยด้วยอำนาจวาสนาบารมีก็ได้ ปล่อยด้วยการบังคับเอาก็ได้ มันปล่อยร้อยปล่อยพันปล่อย ร้อยเล่ห์ร้อยสันพันคม เพราะกิเลสมันพาปล่อยไง กิเลสมันพาปล่อย

มันควบคุม มันคู่เคียงกับจิตมาตลอด มันจะปล่อยให้เราไปง่ายๆมันไม่มีหรอก มันก็ปล่อยๆ เห็นไหม เวลาประพฤติปฏิบัติธรรมน่ะ ธรรมะพระพุทธเจ้า สัจธรรมน่ะ ไม่เคยเหยียบย่ำทำลายเราเลย มันมีแต่กิเลสตัณหาความทะยานอยากนั้นทำลายเรามาตลอดเลย แม้แต่ปฏิบัติธรรม มันก็มาหลอกต่อหน้าการปฏิบัติเนี่ย เอาธรรมะ.. เพราะเราปรารถนาอยากได้ธรรมะใช่ไหม มันก็เอาธรรมะมาบอกเนี่ยใช่ๆ มันก็นอนตีแปลงอยู่นั่นน่ะ กิเลสมันจะเหยียบหัวเอานั่นนะ

แต่ถ้ามันพิจารณา ตทังคปหาน มันจะปล่อยขนาดไหน มันปล่อยอย่างไร นี่ไง ครูบาอาจารย์ท่านประพฤติปฏิบัติประจำนะ เวลามันปล่อยนะ ท่านก็ไม่เชื่อ ถ้ามันไม่มีเหตุมีผล ไม่เอา ถ้าไม่มีอะไรตอบสนอง ไม่เอา มันต้องมีความจริงขึ้นมาบอกสิ ความจริงมันบอกได้ เวลาทุกข์มันก็ยังบอกได้ว่าทุกข์เลย แล้วเวลาสุข มันก็สุขพอสมควร การประพฤติปฏิบัติธรรมน่ะ ทุกข์ควรกำหนด สุขมันก็สุขอยู่พอสมควร แต่ผลมันเป็นอย่างไรละ ผลมันตอบมาอย่างไร

ผลยังไม่ตอบมาเห็นไหม ซ้ำแล้วซ้ำเล่าๆ พิจารณากาย พิจารณาเวทนา จิต ธรรม ซ้ำแล้วซ้ำเล่าๆ เวลามันขาดนะ สมุจเฉทปหาน ตทังคปหาน ปหานชั่วคราว ตทังคปหาน คือปหานแล้วไม่ถึงที่สุดแห่งทุกข์ แต่เวลามันสมุจเฉทปหาน มันขาดปั๊ป แล้วมันสมุจเฉทปหาน เวลามันขาดไปแล้ว เนี่ย ขันธ์ ๕ ไม่ใช่เรา เราไม่ใช่ขันธ์ ๕ ขันธ์ ๕ ไม่ใช่ทุกข์ ทุกข์ไม่ใช่ขันธ์ ๕ เห็นไหม เนี่ย เขาว่าไม่มีตัวตน ไม่มีตัวตนน่ะ ขันธ์ ๕ ไม่ใช่เรา เราไม่ใช่ขันธ์ ๕ เพราะเราเพราะเขา มันถึงยึดมั่นถือมั่นใช่ไหม แต่ขันธ์ ๕ ไม่ใช่เรา เราไม่ใช่ขันธ์ ๕ แล้วมันเหลืออะไรล่ะ นี่ไง นั่นล่ะตัวตน เพราะสิ่งนี้มันปล่อยมาเห็นไหม

สิ่งที่ปล่อยมา เวลามันขาด มันขาดอย่างไร มันปล่อยวางอย่างไร พอมันปล่อยวางแล้ว มันขาดแตกต่าง ความแตกต่างมันสรุปขึ้นมาได้ นี่ไง เวลามันละขันธ์อย่างหยาบขึ้นมา ขันธ์อย่างละเอียดเห็นไหม มันก็ต่อสู้กันจากภายใน ภายในมันจะต่อสู้ไปเรื่อยๆนะ การประพฤติปฏิบัติแต่ละขั้นแต่ละตอนน่ะ มันไม่มีสิ่งใดหล่นมาจากฟ้าหรอก ส้มหล่นไม่มี ส้มหล่นมันขั้นของสมาธิ มันขั้นของนิมิต ขั้นของความเห็น เนี่ย เวลาธรรมเกิด ธรรมเกิดเนี่ย ส้มหล่น เวลาปฏิบัติธรรมไปมันจะเกิดสภาวธรรม มันจะเกิดความเห็นความรับรู้ต่างๆ เนี่ย ส้มหล่น

ส้มหล่นเพราะอำนาจวาสนาบารมีของแต่ละบุคคลไม่เหมือนกัน อำนาจวาสนาบางคนสร้างมากสร้างน้อย สร้างมา ดูสิ เราเก็บกิริยาของเราได้ เราเก็บอารมณ์ของเราได้ อะไรขึ้นมาเราเก็บของเราได้นิ่งเฉย บางคนเก็บอาการไม่ได้ นี่อำนาจวาสนาบารมีของเขา เนี่ย มันเป็นปฏิภาณไหวพริบของเขา ของใครของมัน ถ้าของใครของมันน่ะ

สิ่งที่เกิดมาเวลาจิตมันสงบเข้าไป สิ่งนี้มันแสดงออกทั้งนั้นน่ะ นี่ไงส้มหล่น ฟลุ้ค แต่ปฏิบัติธรรม ไม่มีฟลุ้ค ฟลุ้คไม่ได้ ถ้ามันฟลุ้คขึ้นมาเนี่ย ดูสิกิเลสกับจิตที่มันอยู่มาด้วยกันตลอดนี่ แล้วมันจะพลัดพรากจากกันน่ะ มันมีแต่มันกลืนน่ะ มีแต่มันกลืนกับใจเนี่ย บอกว่าไม่มีหรอก กูไม่มี แต่มันกลืนเข้าไปในเนื้อของใจนะ ไม่มี หลวงตาบอก กิเลสแก้ยากที่สุด กิเลสมันอยู่ในใจของเรา สิ่งนี้แก้ยากที่สุดเลย เนี่ยงานต่างๆ ที่ทำมาว่างานยากขนาดไหนมันก็ทำได้ มันยังส่งให้คนอื่นทำต่อได้ แต่ไอ้จะสู้กับตัวเองเนี่ย กิเลสกับธรรมในหัวใจเนี่ย มีแต่จะกลืนเข้ามา พอมันจะกลืนเข้ามา เราพิจารณาของเรา

เราไม่เชื่อถือ ไม่ยอมรับ ถึงจะปล่อยจะวางขนาดไหน ธรรมะพระพุทธเจ้านี้ สาธุ อยู่ในตู้พระไตรปิฎก เป็นธรรมะของพระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าปรินิพพานไปแล้ว “อานนท์ เรานิพพาน เราไม่ได้เอาสมบัติของใครไปนะ เราไปของเราคนเดียว” เนี่ย ธรรมะของพระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้านิพพานไปแล้ว นั่นธรรมธาตุของพระพุทธเจ้า สุดยอด เป็นครูบาอาจารย์ของเรา แต่เวลาประพฤติปฏิบัติน่ะ ของเราไม่มีหรอก ของเราถ้าของเรามีมันต้องเกิดขึ้นมากับเราสิ จะอ้างธรรมะของพระพุทธเจ้าไม่ได้ จะอ้างเล่ห์สิ่งใดๆ ไม่ได้เลย

ธรรมะพระพุทธเจ้าเป็นแบบแผน เป็นเครื่องดำเนิน แต่ความจริงมันเกิดจากการกระทำเกิดจากปฏิบัติขึ้นมา พอปฏิบัติขึ้นมาถึงเป็นความจริงขึ้นมา เวลามันขาดขึ้นมาเนี่ย แล้วมันเหลืออะไร สิ่งที่เหลือ เหลืออะไร “อัญญาโกณฑัญญะรู้แล้วหนอ อัญญาโกณฑัญญะรู้แล้วหนอ” อ๋อ รู้อย่างนี้เนี่ย รู้แล้วนะ แล้วรู้อะไร “สิ่งใดสิ่งหนึ่งเกิดขึ้นมาเป็นธรรมดา สิ่งใดสิ่งหนึ่งดับไปเป็นธรรมดา” แล้วอะไรเกิดอะไรดับล่ะ สิ่งหนึ่งเกิดขึ้นมา นึกว่าไฟเกิดไฟดับอยู่โน่น พระอาทิตย์ขึ้นพระอาทิตย์ตกอยู่โน่นมันก็เกิดดับเนี่ย

ทุกคนเขาก็รู้ ยิ่งวิทยาศาสตร์ยิ่งรู้ดีกว่าเราอีก แล้วรู้ดีแล้วตัวเองได้อะไรล่ะ เราจะโง่เขลาเบาปัญญา เขาจะรู้มากอะไรกว่าเรา เรื่องของเขา แต่ถ้ารู้ใจเราล่ะ เรารู้ถึงสิ่งนี้มันเกิดมันเกิดที่ไหน สิ่งที่มันดับ มันดับเพราะอะไร ใครไปทำลายมัน สิ่งใดสิ่งหนึ่งเกิดขึ้นมา สิ่งนั้นดับลงไปเป็นธรรมดา คือเกิดเท่าไรก็ดับทั้งหมด แล้วดับไป ใครเป็นคนดับมัน ดับด้วยมรรคญาณเว้ย ดับด้วยญาณทัสนะ ญาณทัสนะเข้าไปทำลายขาด! ขันธ์ ๕ ไม่ใช่เรา เราไม่ใช่ขันธ์ ๕ ขันธ์ ๕ ไม่ใช่ทุกข์ ทุกข์ไม่ใช่ขันธ์ ๕ เนี่ย แล้วรวมลง รวมลงมืออย่างไร จิตมันปฏิบัติต่อเนื่องกันไปเห็นไหม

นี่ ขันธ์ อย่างหยาบ แล้วขันธ์อย่างกลาง ขันธ์อย่างละเอียด กว่าที่จะเข้าไปขั้นนิพพานเป็นนิพพานน่ะ มันมีที่มาที่ไปไง บอกนี่ นิพพานเป็นนิพพานก็เป็นตัวตนไง เพราะเรากับนิพพานเป็นอันเดียวกันน่ะ ก็ไปนอนกอดนิพพาน ไปนอนจมนิพพาน พระปฏิบัติเลยไม่มีนิพพานสักองค์นึง พระปฏิบัตินะ โห โง่เง่าเต่าตุ่น เอานิพพานเป็นเราเราเป็นนิพพาน มีตัวตนไปนอนอยู่ในนิพพานนั้นน่ะ มันจะนอนนิพพานได้อย่างไร ในเมื่อมันทำลายมาขนาดนี้ มันทำลายตัวตนเป็นขั้นเป็นตอน ตัวตนมีหยาบ มีกลาง มีละเอียด ตัวตนมีความยึดมั่นถือมั่น ยึดอย่างหยาบๆก็ยึดอย่างหยาบๆ

ดูสิ ปฏิบัติธรรมน่ะ รับรู้ว่าทัน โห มีใบประกาศเนาะ โห ๒๐ ใบ ๓๐ใบ แขวนไว้เต็มห้องเลย เป็นนักปราชญ์นะ มีใบรับรองเต็มไปหมดเลย แต่ตัวเองก็พูดแต่ธรรมะพระพุทธเจ้าน่ะ แล้วตัวเองก็ไม่รู้จักตัวเองด้วยนะ นิพพานต้องเป็นสักแต่ว่านิพพานนะ เป็นเราไม่ได้นะ นิพพานเป็นอนัตตา มันถึงจะกว้างขวาง การปฏิบัติจะได้กว้างขวาง ชาวพุทธจะได้มีโอกาส จะได้ใช้ทำการวิจัย ออกไปนอกโลกน่ะ เราเป็นไข้ เราเป็นคนทุกข์ เราเป็นคนมีกิเลส เราจะชนะกิเลส มันต้องกลับมาที่เรา ออกไปข้างนอกไม่ได้ ออกไปข้างนอกนั่นคือธรรมะของพระพุทธเจ้าที่วางไว้ให้เป็นแบบแผน แต่ถ้าเป็นของเราจะย้อนกลับมาที่เรา

ถ้าย้อนกลับมาที่เราเวลามันพิจารณาซ้ำเข้าไปเห็นไหม ถ้ามันปล่อยกายมาแล้วเห็นไหม ที่ว่ามันปล่อยกายโดยความเป็นจริง มันไม่ใช่ปล่อยกายเพราะว่าเราเข้าใจแล้วเราปล่อย ถ้าเราเข้าใจแล้วเราปล่อย มันปล่อยไม่ได้ ถ้าปล่อยตามความเป็นจริงจะปล่อยของมันขึ้นมา ถ้าปล่อยขึ้นมาๆ มันทำงานของมันได้แล้ว มันจะทำความสงบของใจเข้าไปอีก พอจิตสงบเข้าไป มันจะเข้าไปต่อสู้ ต่อสู้กับกิเลสอันที่ละเอียดกว่า เห็นไหม เนี่ย คำว่าตัวตนเห็นไหม ถ้านิพพานเป็นเรา เราจะมีตัวตน มันทำลายตัวตนเป็นชั้นเป็นตอน ถ้ามันทำลายตัวตนเป็นเราเป็นเขาไม่ได้ มันจะเข้าไปทำงานสิ่งที่ละเอียดๆ กว่าได้อย่างไร

สิ่งที่ละเอียดกว่า ดูสิ จิตของเรานี่ เปรียบเหมือนมะพร้าวเห็นไหม ปอกเปลือกมะพร้าวออกเห็นไหม มะพร้าวพอปอกไปแล้วมันเหลืออะไร มันเหลือกะลา กะลาพอทำลายไปแล้วมันเหลืออะไร เหลือเนื้อ พอทำลายเนื้อมะพร้าวไปแล้ว มันเหลืออะไร มันเหลือน้ำมะพร้าว นี่ไง พอจิตมันละเอียดเข้ามาเป็นชั้นเป็นตอนเข้ามา มันละเข้ามาเป็นชั้นเป็นตอนเข้ามา มันละสิ่งนั้นเข้ามาแล้วเห็นไหม มันละเปลือกมันมาแล้ว

ถ้าละเปลือกมันมาแล้ว อุปาทานในจิต ในจิตอุปาทานมันไปเกาะยึดอะไร สิ่งที่มันเกาะยึดน่ะ มันเกาะยึดน่ะ ดูสิ ตัวน้ำมะพร้าวเห็นไหม ดูสิ ดูอย่างมะพร้าวแต่ละลูกเห็นไหม มันมีอะไรหล่อเลี้ยงมันขึ้นมา จากลูกเล็กๆมันโตขึ้นมาเป็นลูกมะพร้าวได้ นี่ก็เหมือนกัน จิตใจของเราเนี่ย มันเป็นอย่างนี้มาตลอด แต่ไม่มีใครรู้ไม่มีใครเห็น แต่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้ในธรรมขึ้นมาแล้วเนี่ย แล้วการตรัสรู้ในธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ถ้านิพพานเป็นนิพพานนี่ มันต้องปอกลอกมายังนี้ มันปอก มันลอกนะ มันคลายออก คลายกำหนัด มันทำความคลายออกมา

ถ้าจิตสงบออกวิปัสสนาเข้าไป ในสติปัฏฐาน ๔ ในกาย ในเวทนา ในจิต ในธรรม เห็นไหม กายในกาย เขาบอกกายก็คือกาย ยังมีกายในกายอีกเป็นโวหารทั้งนั้นน่ะ กายนอก กายนอกเห็นไหม ดูสิ แม้แต่ความสงบของใจเนี่ย ดูสิ มันมองเห็นไหม ดูกายนอก ดูกายคนอื่นดูแล้วมันสลดสังเวชน่ะ มันดูสลดสังเวชเพราะมันมีสติปัญญา แต่ถ้ามีสติปัญญายิ่งดูนะ มันยิ่งกระตุ้นตัวเอง นี่ มันเป็นปฏิภาคต่อกัน เพราะธรรมดาโลกนี้ก็มีขั้วบวกขั้วลบ การเกิดของมนุษย์ สังคม สังคมการเกิด เห็นไหม การดำรงเผ่าพันธุ์มันมีธรรมชาติของมันอยู่อย่างนั้นอยู่แล้ว ถ้าธรรมชาติของมันอย่างนั้น เราไปตามธรรมชาติของมัน มันก็ออกเป็นโลกไปหมดน่ะ นี้ กายนอก

เขาถึงไม่ให้ดูปฏิภาคตรงข้ามต่อกัน เขาไปดูซากศพ ในวิสุทธิมรรคบอกว่าให้ไปดูซากศพ ให้ดูซากศพเพราะอะไร เพราะซากศพเวลาคนตายไปแล้ว มันก็แค่นั้นน่ะ ถ้าคนตายมันต้องแยกสลายเป็นธรรมดา พอไปดูซากศพแล้วมันก็สะท้อนใจสิ มันจะย้อนกลับมาที่เรา เราเห็นมันสะท้อนอย่างนั้น เราก็เป็นอย่างนี้ แล้วเราไปติดอะไรกับสิ่งที่มันเคลื่อนไหวอยู่นั้นน่ะ สิ่งที่มันเคลื่อนไหวคือมันยังมีชีวิตอยู่ไง มีชีวิตอยู่เนี่ย มีธาตุไฟ มันหล่อเลี้ยง มันก็ยังก้าวเดินของมันเป็นธรรมชาติของมัน เราไปเห็นเข้ามันก็สิ่งที่เราปรารถนาไง เวลามันไม่มีธาตุ ธาตุไฟเห็นไหม พอจิตออกจากร่างไป มันก็เหมือนท่อนฟืน แล้วท่อนฟืนมันก็จะเน่าไปเห็นไหม

นี่ กายนอก ไปดูกายนอกให้มันสลดสังเวช ถ้าสลดสังเวชขึ้นมานี่ สิ่งที่ดูกายนอก มันสลดสังเวชขึ้นมา มันก็ย้อนกลับมาที่ใจ ไปดูนี่ เอาตาไปดูหรือ ตาเนี่ย ถ้าเราตาบอดตาใสไปดู จะเห็นไหม เนี่ยเอาตาไปดูมันก็ไปเห็นแต่วัตถุธาตุน่ะสิ แต่ถ้าจิตมันสงบขึ้นมาเห็นไหม จิตสงบ เพราะเอาจิตดู พอดูเสร็จแล้วหลับตา ไปเที่ยวป่าช้าเห็นไหม เห็นภาพนั้น หลับตาลง หลับตาลงแล้วภาพนั้นยังอยู่ในใจไหม ถ้าภาพยังอยู่ในใจให้กลับไปยังในที่อยู่ของตัว แล้วใช้จิตเห็นไหม ขยายมันเห็นไหม อุคคหนิมิต วิภาคนิมิต เห็นภาพนั้น แล้วขยายภาพส่วนนั้น แล้วภาพส่วนนั้นมันจะเข้าไปสะเทือนกับข้อมูลฝังลึกในใจ ข้อมูลที่ฝังลึกในใจเนี่ย มันว่าสิ่งนั้นเป็นเราทั้งนั้นน่ะ สิ่งนี้มันเป็นสมบัติของเรา แล้วถนอมรักษามาก ดูสิ เราได้เพชรนิลจินดามา เราจะดูแลอย่างดีเลยแม้ว่าจะกินไม่ได้นะ เขาไม่ได้กินหรอก เขาเอาไปขายแลกเงิน เงินก็กินไม่ได้ ต้องไปแลกอาหารมา อาหารก็กินได้แค่ชั่วคราว

นี่ก็เหมือนกัน สิ่งที่เป็นอุคคหนิมิตนะ แยกส่วนขยายส่วนลงไปเพราะจิตมันยึดมั่นถือมั่นของมันเห็นไหม พอมัน วิภาคะ ขยายส่วน เพราะมันเข้าไปสะเทือนข้อมูล ข้อมูลคือความเข้าใจ คือความยึดมั่นของจิตอยู่ที่จิตสำนึกน่ะ พอมันเห็นเข้า มันก็คลายออกๆเห็นไหม นี่ ถอนอุปาทาน จากที่วิปัสสนามาถึง ขันธ์ ๕ ไม่ใช่เรา เราไม่ใช่ขันธ์ ๕ แต่ความยึดมั่นถือมั่นของใจมันยังมีอยู่เห็นไหม

ถ้าวิปัสสนาไป มันก็เข้าไปสู่จิต เห็นไหม เพราะจิตเนี่ย ข้อมูลเดิม คือ อำนาจวาสนา คือการเกิด สัญญาละเอียด เห็นไหม การเกิดการตายของคนที่ระลึกชาติต่างๆเนี่ย การเกิดแต่ละภพ ดูสิเมื่อวานนี้ เห็นภาพอะไร นึกถึงสิ ภาพเมื่อวาน ยังมีไหม แต่สิ่งที่เห็น เห็นตั้งแต่เมื่อวาน ทำไม วันนี้ยังจำได้ล่ะ แล้วอดีตชาติล่ะ แล้วสิ่งที่มันเกิดมากับจิตล่ะ จิตที่มันรับรู้อะไรต่างๆขึ้นมา แล้วข้อมูลมันฝังอยู่ที่ไหน มันก็ฝังอยู่ที่ปฏิสนธิจิตน่ะ ปฏิสนธิจิตนะ ภพนะ ภวาสวะนะ สิ่งที่มันละเอียดที่สุดอยู่ที่ใจนะ

นี่ มันฝังอำนาจวาสนาบารมี มันเก็บฝังข้อมูลต่างๆ เมล็ดพันธุ์พืชมันเกิดขั้นมาแต่ละต้น มันไปเกิดตามพันธุ์พืชของมัน แต่เวลาจิตเกิดขึ้นมานี่ พันธุกรรมทางจิต จิตที่มันเกิดขึ้นมามันมีข้อมูลของมันในหัวใจอีกมหาศาลเลย แล้วเวลาวิปัสสนาไปเห็นไหม ข้อมูลนะ วิปัสสนาเนี่ย ขยายส่วนแยกส่วน วิภาคะเนี่ย แล้วมันไปสะเทือนข้อมูลอันนั้นน่ะ มันไปกระเทือนข้อมูลนั้น เพราะข้อมูลนั้นมันรับรู้สิ่งใด โดยอำนาจวาสนา โดยบวกโดยลบก็แล้วแต่ มันจะยึดมั่นถือมั่นของมันทั้งหมดเลย แล้ววิปัสสนาไปเห็นไหม ถ้าวิปัสสนาไปโดยจิต จิตที่มันมีสัมมาสมาธิขึ้นมาแล้ว วิปัสสนาไป สิ่งที่มันเห็นโดยวิภาคะเนี่ย มันแตกต่าง มันแตกต่าง มันทำลาย มันไม่เป็นเหมือนที่เราคิดเลย มันไม่เป็นสิ่งที่เราจงใจตั้งใจเลยเห็นไหม มันถอนอุปาทาน ถอนๆๆๆๆๆน่ะ มันซ้ำแล้วซ้ำเล่าๆ วิปัสสนา ใคร่ครวญเข้าบ่อยครั้งเข้า ในวงของปัญญาเห็นไหม

มันจะเริ่มมีกำลังของมันขึ้นมา จากโสดาบัน ขั้นโสดาบันต้องเข็น เพราะอะไร เพราะมันภาวนาไม่เป็นใช่ไหม ต้องเข็น ต้องพยายามต่อสู้ ต้องพยายามออกแรงปากกัดตีนถีบของมันจนเต็มที่ขึ้นมาเลย จนกว่าจะถึงที่สุดได้ ถึงจะ เฮ้อ… มันเข้าใจแล้ว ถึงจะ เฮ้อ… ถึงที่แล้วไง เนี่ย ถึงบางอ้อ อ้อเสร็จแล้ว เพราะอ้ออันนั้นใช่ไหม มันก็เป็นประสบการณ์ของจิตเห็นไหม เพราะจิตมันเคยเกิดมาแล้ว พอวิปัสสนาเข้าไปมันก็ไปถอดถอนข้อมูลจากภายใน ข้อมูลอย่างหยาบ อย่างกลาง อย่างละเอียดนะ โสดาบันก็ละกิเลสได้อย่างหนึ่ง ได้ส่วนหนึ่ง สกิทาคา ก็ละกิเลสได้ส่วนหนึ่ง อนาคาเนี่ยถอดถอนเกือบหมดเลย เนี่ย สิ่งที่เข้ามาทำลายถอดถอนเรื่องกายนอกกายในเนี่ย พอถึงที่สุดแล้วมันขาด โลกนี้ ราบ ราบหมดเลย สิ่งที่ราบ ราบเพราะอะไร ราบเพราะจิตมันปล่อยเห็นไหม ระหว่างกายกับใจ มันราบหมดเลย

นี่ มันมาสู่ข้อมูลที่มันถอดถอนเห็นไหม ว่าง ว่าง ว่างๆ ของสมาธิ ว่างๆ ของมิจฉาสมาธิก็อย่างหนึ่ง ว่างๆเพราะการวิปัสสนาญาณที่มันเกิดขึ้นมาแล้วก็อย่างหนึ่ง วิปัสสนาญาณที่เกิดขึ้น ที่มันปล่อย ที่มันว่างขนาดนี้ เพราะกิเลสมันละเอียดขึ้นไง เพราะละเอียดขึ้นมันจะยับยั้ง ยับยั้งไม่ให้เลยเถิดไปกว่านี้ ถ้ากิเลสมันถอยร่นมาขนาดนี้แล้ว เราทำลายขึ้นมาเนี่ย หลานกิเลส เนี่ยลูกกิเลส มันทำลายแล้วมันเหลือพ่อกับปู่อยู่ข้างใน แต่ลูกหลานพอทำลายมันแล้ว ลูกหลานมันเซ่อ ลูกหลานมันอ่อนวัย เอ็งทำลายมันได้แล้วนะ ข้าก็ยังยันไว้ไง ให้กลับมาอยู่ที่ “ว่าง” เนี่ย นิพพาน ติดได้เหมือนกันนะ พอติดแล้ว ถ้ามีบุญ มีปัญญา มีละเอียดของใจ ถ้าใจมันละเอียดเข้าไปนี่ มันจะเข้าสู่มหาสติมหาปัญญาละ

สติปัญญานี่ แก้ไขกิเลสได้แค่นี้ แล้วถ้าจะก้าวหน้าต่อไป มันจะเป็นมหาสติมหาปัญญา คำว่ามหาสติมหาปัญญาเพราะอะไร เพราะมันละเอียดอ่อนกว่านี้ แม้แต่สติปัญญาที่การเข้ามาถึงที่สุดในการประพฤติปฏิบัติเข้ามา มันยังแบบว่าต่อสู้กันมาปากกัดตีนถีบกันขนาดนั้นนะ แต่ในทางวิชาการที่เขาศึกษา นิพพาน นิพพานต้องเป็นสักแต่ว่านะ นิพพานถ้าเป็นตัวเรา มันคือเราๆๆๆๆน่ะ มันเป็นการเคลม เป็นการโอ้โลมปฏิโลม เป็นความคิดความเห็นของจิตที่มีกิเลสตัณหาความทะยานอยากโดยการเอาวิชาการมาเป็นตัวตั้ง เพราะมันไม่รู้สึกถึงตัวตนของเราเลย แต่เรามีการประพฤติปฏิบัติมาถึงจุดอย่างนี้ นี่ สติปัญญา

แล้วมันยังมีมหาสติ มหาปัญญา สิ่งที่เป็นมหาสติ มหาปัญญา เพราะมันรวดเร็วกว่านี้ ดูสิ ดูคอมพิวเตอร์นะ ความเร็วของมันเห็นไหม ความเร็วของมันที่มันเร็วกว่าหรือช้ากว่า ด้วยคุณประโยชน์อย่างไร จิตนี้มันเร็วกว่า มันหลอกเราได้ลึกซึ้งกว่า มันสร้างภาพได้เร็วกว่าที่เราจะตามมันทัน ฉะนั้น เราต้องตั้งสติขึ้นมา สร้างสติขึ้นมา จนเป็นมหาสติ มหาสตินะ มันถึงจะเข้าไปจับ เข้าไปจับกิเลสที่มันซ่อนอยู่ในจิตนี้ได้ ถ้าเข้าไปจับกิเลสที่มันซ่อนอยู่ในจิตนี้ได้นะ เพราะมันมีมหาสติ มีสติ มีปัญญา มันถึงจะจับได้

คอมพิวเตอร์ที่เร็วขนาดไหน มันก็เป็นสร้างผลประโยชน์ให้กับเจ้าของคอมพิวเตอร์นั้นเพื่อการสื่อสาร เพื่อการคำนวณต่างๆ นี่ก็เหมือนกัน พอสติปัญญาเราเข้าไปสู่จิตจับการเคลื่อนที่ที่มันเร็วกว่า เพราะเครื่องมือเราพร้อม พอเครื่องมือเราไปจับได้ นี่ไง กิเลสอย่างละเอียด เห็นไหม นี่ไง คือพ่อมัน ความโลภความโกรธความหลงเกิดที่นี่นะ นี่ ผู้ที่ประพฤติปฏิบัตินะ เมื่อก่อนเป็นคนที่แหม โกรธ โทสะ โมหะ เป็นคนโกรธ เป็นคนอะไร เดี๋ยวนี้ ไม่ทำสักอย่างหนึ่งเลย โอ๋ เป็นคนดีหมด มันเป็นเรื่องไร้สาระสำหรับฝ่ายปฏิบัติ ฝ่ายปฏิบัติ ครูบาอาจารย์ที่เป็นผู้ประพฤติปฏิบัติท่านไม่เชื่อเรื่องอย่างนั้นหรอก อันนั้นคือลมปาก คือคำพูด ไม่ใช่ความจริง

แต่ถ้าเป็นความจริงเห็นไหม มันตั้งแต่สติปัญญา ละเข้ามาเป็นโสดาบัน เป็นสกิทาคาขึ้นมา แล้วจะเป็นมหาสติ พอเป็นมหาสติเข้าไปจับต้อง เข้าไปจับต้องถึงกามราคะ ปฏิฆะ สิ่งที่เป็นปฏิฆะ สิ่งที่หวงแหน ปฏิฆะคือข้อมูลของใจ สิ่งที่ใจที่เกิดที่ตายนี่ เห็นไหม ปฏิฆะที่เกิดที่ใจ ข้อมูลน่ะ มันมีข้อมูลแล้ว มันก็จะสร้างภาพตามข้อมูลนั้น นี่กามราคะ ถ้าผิดจากนี้ พอมันไม่ได้ดังใจเห็นไหม พอมันกระเทือนหัวใจ มันก็มีโทสะ นี่ ความโลภความโกรธ ความหลง โทสะ โมหะ มันเกิดตรงนี้ นี่ไง นี่คือพ่อ คือแม่ทัพ นี่ จิตเดิมแท้เนี่ย เป็นพลังงานที่มีกำลังของมันนะ มีพลังงานน่ะ พลังงานที่เป็นอวิชชาเนี่ยนโยบาย แต่สิ่งที่ขับเคลื่อนจริงๆ สิ่งที่ขับเคลื่อนคือ ทัพ กองทัพ ความโลภความโกรธความหลง นางตัณหา นางอรดี เนี่ย กองทัพ

สิ่งนี้ มันทำให้จิตของเรา ทำให้ภวาสวะคือภพของเราที่ว่าเป็นเวรเป็นกรรมมันขับเคลื่อนไป ขับเคลื่อนไปแล้วเป็นสักกายทิฏฐิ เป็นวิจิกิจฉา อะไรต่างๆขึ้นมาเนี่ย อันนั้นมันเป็นสิ่งที่เป็นสิ่งหยาบๆกระทบสังคมทางโลกกับสภาวะแวดล้อมที่จิตมันเป็นไป แต่ข้อมูลจริงๆ สิ่งที่ขับเคลื่อนจริงๆ มันอยู่ที่โทสะ โมหะ ความหลงของจิตนี้ หลงว่าอะไร หลงในตัวเอง กามราคะ กามฉันทะ ถ้าไม่มีตัวตน ไม่มี เรา เราจะไปมีผลการตอบสนองเรื่องกามได้อย่างไร เราจะมีผลตอบสนองในการกระทบนี่ ถ้าไม่มีเรา เราจะกระทบกับใครเห็นไหม ถ้าเราดี เราจะกระเทือนกระทบกับเขาทำไม ถ้าเราดี เราก็รักษาของเราอย่างนี้สิ แต่เพราะเรา เราไม่รู้จักตัวเราเห็นไหม เราไม่รู้จักตัวเราเลย พอไม่รู้จักตัวเราเนี่ย มันมีกามฉันทะ เพราะมันพอใจ พอมันพอใจ มันถึงเกิดการกระทบกับข้อมูล ข้อมูลคือ ปฏิฆะ กามราคะ กระทบสิ่งนั้นมันถึงได้ออกไป พอออกไปเห็นไหม พอออกไปเรื่องกามคุณมันก็เรื่องโลก

ถ้าเรื่องของจิตมันก็เป็นกามฉันทะอยู่ภายใน ถ้ามีสติปัญญามันจะไล่ต้อนเข้าไปเห็นไหม มันจะเป็นมหาสติมหาปัญญา เพราะมันละเอียดลึกซึ้งมาก พวกที่ปฏิบัติเข้ามานะ โอ้โฮ ปัญญามัน ละเอียดมาก โอ๋ย มันลึกซึ้งมาก ยัง! ยังไม่เจอมัน ยังไม่เคยเห็นมัน ยังไม่เคยคาด ไม่เคยเจอข้าศึก อย่าเพิ่งไปคำนวณว่า ข้าศึกมีกำลังมากกำลังน้อย เรายังไม่เห็นกองทัพข้าศึกเลยว่ามันใหญ่โตมากมายแค่ไหน มันมีเล่ห์กล มันมีอุบายเล่ห์กลที่จะมาหลอกเราได้อย่างไร ยังไม่เคยเห็น… ยังไม่เคยเห็น ยังคำนวณข้าศึกกำลังข้าศึกไม่ได้ แต่ถ้าไปเห็นไปรู้ของมันขึ้นมา แต่ถ้ามีจิตมีมหาสติมหาปัญญาเข้าไปแล้วจับต้องมันได้ เจอข้าศึกแล้ว แล้วกำลังข้าศึกมันมีมากขนาดไหน เข้าไปเจอครั้งแรกตอนสู้ครั้งแรกล้มลุกคลุกคลาน ไม่มีทางสู้ได้หรอก มันกระทืบ มันเหยียบย่ำอยู่นั่นแหละ เหยียบย่ำจนหัวปั่นนะ

ที่ว่าจนหัวปั่นนี่นะ ก็เราจะสู้กับกิเลสไง ก็เราเป็นลูกศิษย์กรรมฐานนะ เราก็มีครูมีอาจารย์นะ เราก็ประพฤติปฏิบัติมา มีพื้นฐานมารองรับขนาดนี้แล้ว ทำไมเราจะสู้กิเลสไม่ได้ ทำไมจะสู้กิเลสไม่ได้ โอ๋ย มันคึกคักเข้าไปนะ กิเลสมันไม่ได้ทำอะไรเลยนะ มันแค่โบกมือเดียวล้มกลิ้งไปแล้ว สิ่งนี้เป็นความจริง นี่เวลาครูบาอาจารย์กรรมฐานท่านเทศน์ภาคปฏิบัติน่ะ เพราะอะไร ท่านต่อสู้มาอย่างไร ท่านเอาจิตของท่านต่อสู้กับกามราคะ ต่อสู้กับกิเลสมันน่ะ ท่านต่อสู้มาอย่างใด ท่านต่อสู้เห็นไหม โห พูดถึงต่อสู้เชียวหรือ โหนี่มันก็อัตตกิลมฐานุโยคนะ โห อย่างนี้มันก็กิเลสชัดๆ เลยนะ อย่างงี้มันเป็นไปไม่ได้ นี่ดูสิ นี่มันภาคปริยัติเขาคิดกัน พอเขาคิดกันขึ้นมาเนี่ย เขาบอกว่า เขาเรียบง่าย เขาดูสงบเสงี่ยม เขาเป็น สิ่งเนี้ย นิพพานเป็น สักแต่ว่า นิพพานเป็นอนัตตา นิพพานเป็นนิพพาน ไม่มีหรอก มันเป็นไปไม่ได้หรอก เพราะเขาไม่เคยรู้เคยเห็นสิ่งใดๆเลย แล้วพอไม่เคยเห็นสิ่งใดๆเลย พอไม่เคยรู้เคยเห็นสิ่งใดๆเลย ถึงบอก นิพพานเป็นตัวตน ไง มันจะตัวตนที่ไหนมันต่อสู้มา ต่อสู้มาเป็น ชั้นเป็นตอนขึ้นมา จนขนาดที่ว่า กามราคะเนี่ย ความเป็นกามราคะที่มันต่อสู้ด้วยสติปัญญา ด้วยเห็นข้าศึก เห็นข้าศึกเวลามันเข้าไปหาข้าศึกด้วยความเซ่อซ่า เข้าไปหาข้าศึกก็เข้าไปเป็นไพร่พลของข้าศึกไปเลย จนเข้าไปเป็นพวกเขาเลย

วิปัสสนาไปเนี่ย มันหลง หลงเข้าไปในกามราคะ หลงเข้าไปในความว่าง หลงไปหมดเลย ทั้งๆ ที่จะไปต่อสู้กับข้าศึก มันจะต่อสู้กับกามราคะต่อสู้กับกิเลสนะ ทีนี้จิตมันสงบมันมีมหาสติปัญญา พอเข้าไปต่อสู้กับข้าศึก มันเลย กลมกลืนเป็นกิเลส ไปหมดเลย เนี่ยการต่อสู้การกระทำมันมีการผ่านวิกฤตมามากมายมหาศาล กว่าจะมันจะชำระชะล้าง กัน กว่ามันจะถอดถอนกันแต่ละชั้น มันไม่ได้ถอดถอนกันที่ปากหรอก

ไปท่องพุทธพจน์มาแล้วบอกว่า ไม่มีๆ ยึดติด คนยึดติดน่ะ มันถึงเป็นกิเลส ไม่ยึดติดมันก็ไม่มีกิเลสเลย ไม่เลย โหย พระปฏิบัติน่ะงี่เง่าโง่มากเลยน่ะ ต่อสู้มาโดยกำลังเดินจงกรมมาจนๆ ขาฉีก โอ้ พระทำไมโง่ขนาดนี้ สู้นิพพานเป็นสักแต่ว่าไม่ได้ นิพพานเป็นอนัตตา มันไม่มี รู้เท่าก็จบ โห นิพพานมันกิเลสมีก็เพราะยึดน่ะ ไม่ยึดก็ไม่มี คำพูดนะ พูดน่ะพูดในวงสังคม มันพูดในวงของชาวพุทธ แล้วชาวพุทธ ก็เชื่อว่าเป็นนักปราชญ์ เขาเป็นนักปราชญ์ เขาเป็นผู้ที่สังคมยอมรับ พูดอย่างไรคนเขาก็เชื่อ แต่เขาเชื่อก็เชื่อเพราะคำพูด เขาไม่ได้เชื่อแบบกรรมฐานหรือแบบเรา กรรมฐานของเราๆมีครูมีอาจารย์ ถ้าครูบาอาจารย์ของเราไม่ประพฤติปฏิบัติขึ้นมา ไม่มีมุมมองไม่มีความเห็นอย่างนี้ จะเอาอะไรมาสอนเรา เราเนี่ยเจ็บไข้ได้ป่วยขนาดนี้ ไปขอยาจากครูบาอาจารย์ ท่านบอกเอายาแดงทาสิ เนี่ยยาแดงทาหายเราทามาแล้ว เชื่อไหมล่ะ มันเป็นไปไม่ได้หรอก

นี่ในการประพฤติปฏิบัติของเราเห็นไหม เราจะไม่กลมกลืนกับข้าศึก เราจะไม่กลมกลืนกับกิเลส ถึงจะกลมกลืนไปเพราะกำลังเราไม่รู้ เพราะเป็นมหาสติ มหาปัญญากิเลสมีความลึกซึ้งละเอียดอ่อนกว่า เราก็หลงพลาดไปเห็นไหม หลงพลาดไป พอเราๆ พลาดไป เราเทียบอารมณ์เทียบความรู้สึก มันไม่ใช่ พอไม่ใช่เราก็กลับมาพุทโธ กลับมาตั้งสติ ตั้งกำลังของเราขึ้นมามีกำลังขึ้นมา เราก็ต่อสู้ใหม่ ต่อสู้ใหม่ การต่อสู้เห็นไหม ความเพียรชอบ ความเพียรการต่อสู้ ถ้าเรามีการต่อสู้ขึ้นมาแล้วเนี่ย มันมีโอกาสนะ คนจะพ่ายแพ้ขนาดไหนแต่โอกาสในการต่อสู้นี้ มันจะฝึกฝนให้จิตใจพัฒนาขึ้นไป พัฒนาขึ้นไปกำลังมันจะมีมากขึ้นไป ความผิดพลาด การกระทำนั้นๆน่ะ มันจะกลับมาสอนเรา เราก็ต่อสู้ไปเรื่อย ทำไปเรื่อย เราถึงอดนอนผ่อนอาหารกัน

ถึงเวลา ครูบาอาจารย์ท่านบอกเห็นไหม เวลาปัญญามันหมุน นี่ขั้นของมันหมุนแล้วล่ะ หมุนเต็มที่เลย ถ้าจักรมันหมุนแล้วนะ มันก็เหมือนกับว่า ก็ กิเลสเนี่ย เราก็รู้เราก็เห็น ถึงเราจะกลืนไปกับมัน ก็กลืนไปกับมันเพราะเราเข้าใจผิดว่าเราเป็นธรรม กิเลสกับเราเป็นธรรมด้วยกัน แล้วพอเรากลืนเข้าไปความเห็นผิดเห็นไหม พอเห็นผิดขึ้นมาพอรู้สึกตัวขึ้นมา ก็เราก็ย้อนกลับมา สร้างกำลังขึ้นมา พอสร้างกำลังขึ้นมาเราก็มีความแตกต่างระหว่างธรรมกับกิเลส ธรรมมีเพราะอะไรเพราะมีมหาสติมหาปัญญา เวลากิเลสก็คือความมอมเมา มันมอมเมาจิตให้เป็นความเห็นของมันเห็นไหม พอมันมีความแตกต่างๆ เพราะมันมีกำลังขึ้นมาเห็นไหม มันจะแยกออกไม่กลืนกับมัน พอไม่กลืนกับมันเนี่ยพอปัญญามันต่อสู้ขึ้นไหมล่ะ ต่อสู้เนี่ยบ่อยครั้ง บ่อยครั้ง ต้องบ่อยครั้งมาก

เห็นไหม ขันธ์ ๕ เขาบอกขันธ์ ๕ เนี่ย ขันธ์ ๕ กับจิตเนี่ย ถ้าบีบ.. ถ้าธรรมะเป็นนิพพานเป็นนิพพาน ก็บีบแค่เหลือขันธ์ ๕ เนี่ยเวลาขันธ์ ๕ กับจิตเห็นไหม เนี่ยเวลากลมกลืนขึ้นไปเนี่ยมันก็เป็นขันธ์ แต่สิ่งที่เป็นขันธ์ ขันธ์อันละเอียด เพราะปฏิฆะ กามราคะ ถ้ามันไม่เกิดจากข้อมูล ไม่เกิดจากสัญญามันเกิดจากอะไร ถ้าเป็นขันธ์ขึ้นมาเห็นไหม แต่เวลาพิจารณาไปมันจะ สั้นเข้ามาสั้นเข้ามาเนี่ย ระหว่างขันธ์กับจิตเห็นไหม ระหว่างขันธ์กับจิตน่ะ มันเข้ามาถึงตัวจิตเห็นไหม เวลามันปล่อยวางเข้ามาถึงที่สุดแล้วเนี่ย มันทำลายลงที่จิต ถ้าทำลายลงที่จิต เนี่ยขันธ์มันไม่มีแล้ว ทำลายลงที่จิต ขันธ์มันไม่มีแล้ว ถ้าขันธ์ไม่มีมันมีความคิดได้อย่างไร ทำลายๆขึ้นมา ถ้ามันละเอียดเข้ามาถึงที่จิตมันระเบิดตู้ม ครืนไปหมดเลยนะ เนี่ย ทำลายหมด ขันธ์ ๕ ขาดหมด ขันธ์อันละเอียดน่ะ ขาดอะไร ขาดด้วยกามราคะ ขาดด้วยกามปฏิฆะ ข้อมูล สัญญาอันละเอียด ขาดหมดเลย

เนี่ย ถ้าพิจารณาเป็นเจโตวิมุติเห็นไหม พิจารณากายจนถึงที่สุด กายมันจะเยิ้มเข้าไป เยิ้มไปหมดเลยนะ ถ้าพิจารณาอสุภะ อสุภะจะเกิดขึ้นขั้นอนาคา ที่ว่าพิจารณาอสุภะๆน่ะ อันนั้นเป็นปากพูด มันเป็นการพิจารณากาย พิจารณาสักกายทิฐิ เวลาพิจารณาธาตุขันธ์ ถ้าพิจารณากายจนละเอียดมันจะเป็นอสุภะ ถ้าอสุภะมันแก้กามราคะ สิ่งที่เป็นกามราคะเนี่ยมันอยู่ในเนื้อของจิตอยู่แล้ว ถ้าพิจารณาไปมันปล่อย มันละเอียดเข้าไป ถึงที่สุดนะ มันก็ทำลายลงที่จิตเหมือนกัน ถ้าทำลายที่จิต พอทำลายที่จิตเนี่ย พระอนาคา พระอนาคา นี่แตกต่างกับพระโสดาบัน แตกต่างกับพระสกิทาคา เพราะพระอนาคาเนี่ยมันมีหยาบมีละเอียดนะ

ถ้าพระอนาคาเห็นไหม พระอนาคามี มี ๕ ชั้น เพราะมีข้อมูลอันละเอียด ถ้ามันย้อนกลับมาทำลาย ทำลาย ฝึกฝนเข้าไปจนถึงที่สุดเห็นไหม ถึงที่สุด ว่างหมดเลย ว่างทำไม ทำไมถึงว่าง นี่ไง ถึงว่างก็มีตัวตน ตัวตน ว่าง ตัวว่างคือ จิตเดิมแท้ จิตเดิมแท้ ไม่ใช่ขันธ์ ขันธ์ไม่ใช่จิต จิตไม่ใช่ขันธ์ ไม่ได้บีบอยู่ในขันธ์ ทำลายขันธ์ทั้งหมดเลย แล้วกลับมาอยู่ที่จิตแล้ว พอกลับมาอยู่ที่จิตแล้วจิตมันจะจับจิตได้อย่างไร ถ้าจิตมันจะจับจิตได้อย่างไรแล้วเห็นไหม อรหัตตมรรค ถ้าจิตจับจิต จิตเดิมแท้ผ่องใส จิตเดิมแท้หมองด้วยอุปกิเลส จิตเดิมแท้นี้ผ่องใส แล้วมันจะจับขึ้นมาได้อย่างไร

ถ้ามันจะจับขึ้นมานี่เห็นไหม เป็นพระอนาคา ถ้าเข้าถึงเวลาจิตมัน.. ขันธ์มันขาดหมดแล้ว ว่าง นี่ ที่ว่าติดกันเป็นส่วนใหญ่ ครูบาอาจารย์ติดเพราะอะไร เพราะมันมีเศษส่วน มันมีอนาคา ๕ ชั้นที่จิตมันเข้า มันเข้ามาเห็นไหม รูปราคะ อรูปราคะ มานะ อุทธัจจะ อวิชชา เวลามานะ เห็นไหม มานะตัวตน แต่มานะอันนี้มันมานะละเอียดนะเห็นไหม ใน อุทธัจจะ คำว่า อุทธัจจะ คือความฟุ้งซ่านนะ อุทธัจจะ เนี่ยมันเป็นความนึกคิดเป็นความฟุ้งซ่าน อุทธัจจะกุกกุจจะ เห็นไหม มันเป็นนิวรณธรรม แล้วอุทธัจจะมันเป็นอย่างไร เนี่ย เวลาเป็นตัวตน คำว่า ตัวตนๆ นะ ขันธ์ ๕ เราไม่ใช่ขันธ์ ๕ เพราะโสดาบัน ละแล้วไม่มีตัวตน

แล้วมานะ ๙ นี้มันคืออะไร เราสำคัญว่าเราเสมอเขา เราสำคัญว่าเราต่ำกว่าเขา เราสำคัญว่าสูงกว่าเขา เราสำคัญว่า เราสำคัญว่า กับตัวตนในขันธ์ ๕ เห็นไหม นี่ไงถึงบอกว่า ถ้านิพพานคือนิพพานจะมีตัวตน ตัวตนน่ะมันโดนทำลายมาเป็นชั้นเป็นตอนขึ้นมาแล้ว นะแล้วมันตัวตนอันละเอียด ตัวตนอย่างนี้มันเป็นตัวตนที่ละเอียดอ่อนมาก เป็นตัวตนที่มานะ๙เนี่ย ความเป็นมานะ๙ นี้ มานะกล้า ทั้งๆที่มันละเอียดอ่อนเพราะพระอนาคา คำว่าพระอนาคาทำไมมีมานะขนาดนั้นล่ะ เนี่ย กิเลสของพระอนาคา อยากดัง อยากให้เขายอมรับ อยากๆๆเนี่ย กิเลสของพระอนาคา ไปดูในพระไตรปิฎกก็มี พระไตรปิฎกนะ พระอนาคาต้องการให้คนยอมรับทั้งนั้นน่ะ ก็อยากให้ยอมรับว่าเป็นพระอรหันต์ไง อยากให้ยอมรับว่าสิ้นกิเลสแล้ว โอ๊ย อยากให้รู้ว่าเป็นธรรมะแล้ว บ้าบอคอแตกอยู่นั่นน่ะ

แต่ถ้ามันมีหลักมีเกณฑ์ขึ้นมามันจะย้อนกลับมาถึงตัวมันเองนะ สิ่งที่กำลังปฏิบัติขึ้นมาเนี่ยมันเป็นระหว่างขันธ์กับจิต ระหว่างขันธ์กับจิตมันมีการกระทบกันมาตลอด ระหว่างจิต ระหว่างพลังงานเห็นไหม พลังงานกับความรู้สึกมันกระทบกันตลอด ทีนี้พอไปเป็นพลังงานเปล่าๆ พลังงานเพียวๆ พลังงานที่ไม่มีสิ่งใดเลยเนี่ย แล้วสิ่งใดจะไปจับต้องมันล่ะ สิ่งที่จับต้องมันเห็นไหม เนี่ย อรหัตตมรรคน่ะมันจะย้อนกลับเข้ามาที่ตัวมัน ถ้าเข้ามาที่ตัวมันเห็นไหม ก็กว่าจะรื้อค้นได้ การรื้อค้น จิตจับจิต มันของแสนยากเลย จิตเห็นอาการของจิตเนี่ยง่าย จิตเห็นอาการของจิต เพราะมันเสวยอารมณ์ จิตเห็นอาการของจิต จิตเห็นความคิดเนี่ยมัน มันยังพอเห็นความคิดเนี่ยมันจับต้องได้แล้วเนี่ย วิปัสสนามามันเป็นชั้นเป็นตอน จิตเห็นกายของจิต ละอาการ ละอาการ ละเงา ละต่างๆ ละจนเป็นตัวมันเอง ไม่มีเงา ไม่มีเงาไม่มีการเคลื่อนไหวเลย แล้วจิตเห็นจิต จิตจับตัวจิต

ถ้าจิตจับจิตจับอย่างไร นี่ไงสิ่งที่จับจิต จับจิตเนี่ย สิ่งที่จิตจับจิตเวลาวิปัสสนาเข้ามา มันจะย้อนกลับเข้ามา ถ้าพูดแล้วมันก็ เหมือนกับเรื่องจะสุดวิสัย ถ้าไม่มีครูบาอาจารย์เนี่ย เราจะสร้างภาพ ดูสิ ปริยัติเขาเนี่ย เขาพูดๆธรรมะเขาพูดพุทธพจน์หมดเลย พูดธรรมะพระพุทธเจ้าหมดเลยตัวเองไม่รู้อะไรเลย แต่เวลาถ้าเราประพฤติปฏิบัติไปเนี่ย ในภาคปฏิบัติ เวลาในภาคปฏิบัติ ถ้าเรามันละเอียดขนาดนี้ ก็มันละเอียดขนาดนี้ ละเอียดจนสุดวิสัย ละเอียดจนไม่รู้จะละเอียดอะไรไปกว่านี้อีกแล้ว ละเอียดๆๆขนาดไหนก็แล้วแต่ ก็ละเอียดของเรานะ ละเอียดของกิเลสนะ มันไม่ใช่ละเอียดของครูบาอาจารย์ที่ท่านผ่านไปแล้ว เพราะครูบาอาจารย์ของเราๆก็ต้องผ่านอาการอย่างนี้มา

ถ้าครูบาอาจารย์เหล่านี้มาเนี่ยๆ ความละเอียดขนาดไหน มันก็มีสิ่งที่รับรู้ได้เนี่ย ภวาสวะ กิเลสสวะ อวิชชาสวะ เราว่ากิเลสวะ อวิชชาสวะ นี่ น่ารังเกียจมาก ภวาสวะเนี่ยไม่มีอะไรก็คือเรา ไม่เป็นไรไม่ต้อง ไม่เป็นอะไรน่ะ ตัวนี้สำคัญที่สุดเลย เนี่ยกิเลสสวะ ก็รู้ว่ากิเลสต้องไม่อยากได้ อวิชชาสวะเขารู้อวิชชา เราก็รู้อยู่แล้วว่ามันไม่เอา ภวาสวะมันเป็นอย่างไรละ นี่ไง สิ่งที่ละเอียดๆ มากเนี่ย แล้วมันจะจับต้องมันอย่างไร สิ่งที่จับต้องของมันได้เห็นไหม นี่ไง ถ้าจับต้องได้เนี่ย จิตเป็นมัธยัสถ์ เป็นกลาง ถึงตัวมันเองแล้วทำลายตัวเองทั้งหมดเลย ทำลายตัวเองทั้งหมดเลย ปล่อยเขามาหมดแล้วผู้มีอิทธิพล ทำลายคนอื่นหมดแล้ว เราเป็นเจ้าอิทธิพลอยู่คนเดียวเนี่ย ขวางโลกอยู่คนเดียวเนี่ย โลกมันยังมีผู้มีอิทธิพลอยู่ มันยังไม่สงบสุขได้ โลกสงบสุขไม่ได้ ผู้มีอิทธิพลนี่ยังครองโลกอยู่ แต่ถ้ามันไปทำลายผู้มีอิทธิพลตัวนี้ ไปทำลายตัวจิตเดิมแท้ตัวนี้ แล้วทำลายจิตเดิมแท้ตัวนี้ แล้วมันครืนลงไป ครืนลงไปในหัวใจ

ธรรมะ นิพพานเป็นนิพพานมันจะมีตัวตนที่ไหน ถ้ามันมีตัวตนอยู่ มันจะมีนิพพานได้อย่างใด ถ้ามันมีตัวตนอยู่ มันจะเป็นนิพพานได้อย่างใด แต่ถ้ามันเป็นนิพพานคือนิพพาน ก็นิพพานก็ต้องคือนิพพาน นิพพานมันก็หนึ่งเดียวเป็นนิพพานนั่นแหละแต่มันไม่มีตัวตน ไม่มีตัวตนเพราะผู้ที่เขาพูดน่ะ เขารู้จริงของเขา แต่เพราะเราเองเนี่ย เราไม่รู้จริงของเรา เราไม่เข้าใจว่า นิพพานเป็นนิพพานต้องนิพพานเป็นสักแต่ว่านิพพานเห็นไหม เพราะสักแต่ว่ามันถึงจะไม่มีตัวตน นิพพานเป็นอนัตตา ใจจริงก็จะบอกว่านิพพานเป็นอนัตตา ยังคัดค้านว่านิพพานเป็นอนัตตา แล้วบอกว่าไม่มีความเห็นเหมือนกับพระปฏิบัติ ไม่มีความเห็นเหมือนกับหลวงตา หลวงตาท่านก็ว่าของท่านไป อย่าไปติเตียนท่านเลย ยกท่านไว้องค์หนึ่งเห็นไหม

แต่ว่า พระป่าก็ปฏิบัติไป พระบ้านก็รู้ได้นะ เขาว่าพระป่าน่ะ ผู้ที่ปฏิบัติจนถึงที่สุดแห่งทุกข์แล้วเนี่ยตั้งใจปรารถนาจะอยู่ป่าก็อย่างนึง ตั้งใจจะปรารถนาอยู่บ้านก็ได้เหมือนกัน พระบ้านก็รู้ได้เหมือนกันเขาว่านะ

พระบ้านพระป่าไม่มี เพราะบวชด้วยอุปัชฌาย์เหมือนกัน เพียงแต่ว่าประพฤติปฏิบัติจริงหรือไม่จริง ทำจริงหรือไม่จริง ได้ประโยชน์จริงหรือไม่จริง อันนี้ต่างหาก ถึงจะเป็นความจริง “นิพพานคือนิพพาน” เอวัง